- โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์

เมื่อปวดท้องรอบเดือน..
โดย : บ้านมหา ดอทคอม
เมื่อเริ่ม เข้าสู่วัยแตกเนื้อสาว สรีระร่างกายในทุกอณูของผู้หญิง ล้วนแต่ถูกกำหนดโดยฮอร์โมนเพศ ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเลือดประจำเดือน...
การมีรอบเดือนของผู้หญิง เกิดจากการกระตุ้นของฮอร์โมนเพศจากรังไข่ให้สร้างเยื่อบุมดลูกขึ้นภายในผนัง มดลูก เพื่อเตรียมรับการฝังตัวของไข่ที่มีการปฎิสนธิกับสเปิร์มกลายเป็นตัวอ่อน หรือรองรับการตั้งครรภ์ใดๆเกิดขึ้น เยื่อบุมดลูกที่ถูกสร้างเตรียมไว้ก็จะถูกขับให้หลุดลอกผ่านทางช่องคลอดออก มานอกร่างกาย โดยปกติกระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและเป็นประจำทุกๆ 28 วัน หรือหนึ่งรอบเดือนโดยประมาณ แต่ก็ยังมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่มีรอบเดือนมาไม่ปกติ หรือเวลาที่มีรอบเดือนมาแต่ละที สภาพร่างกายก็แทบจะรับไม่ได้ มิหนำซ้ำยังเกิดภาวะอารมณ์แปรปรวนซ้ำเติมขึ้นอีก

สุขภาพที่แข็งแรงจะเกิดการแปรปรวนน้อยกว่า

ผู้หญิงที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และมีภูมิต้านทานโรคสูง ในระยะก่อนหรือช่วงมีรอบเดือนมา จะมีอาการปวดเกร็งมดลูกน้อยกว่าผู้หญิงสภาพร่างกายอ่อนแอ ขาดสารอาหารหรือขาดการออกกำลังกาย ทั้งนี้ ราว 10 วัน ก่อนหน้าที่ประจำเดือนจะมาปริมาณแร่ธาตุต่างๆในร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แคลเซียมและสังกะสีในเลือดจะค่อยๆลดน้อยลง แต่ในขณะเดียวกันแร่ธาตุทองแดงกลับเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการคัดเต้านม ช่องท้องพองตัว ปวดศรีษะ นอนไม่หลับ จิตใจไม่สงบ บางรายมีอาการกระสับกระส่าย ซึมเศร้า หรือในบางครั้งก็ตื่นเต้นอย่างไม่มีเหตุผล น้ำหนักตัวเพิ่ม ภูมิต้านทานต่ำ และง่ายต่อการแพ้และติดเชื้อ

ทางแก้และป้องกัน


เพื่อไม่ให้เกิดอาการต่างๆดังกล่าวในระยะก่อนมีประจำเดือน จึงควรรับประทานอาหารที่ช่วยปรับให้ร่างกายเกิดความสมดุล นอกจากจะต้องหมั่นรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและสังกะสีเพิ่มขึ้นแล้วก็ควร เพิ่มการรับประทานวิตามินซี เหล็ก แมกนีเซียมและวิตามินบีรวม ด้วย


ลดอาการปวดเกร็งท้องด้วยวิตามินและแร่ธาตุ

สำหรับอาการปวดเกร็งท้องเหมือนใครมาบิดไส้เป็นพักๆนั้นถือว่าเป็นอาการปกติ ที่ผู้หญิงกว่า 50% มักจะต้องเป็นกัน ซึ่งสาเหตุสำคัญของอาการปวดดังกล่าวเป็นผลมาจากพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ฮอร์โมนที่สร้างจากมดลูกสำแดงฤทธิ์เดชทำให้ผนังมดลูกมีการบีบตัวขณะที่มี ประจำเดือน อย่างไรก็ดีอาการเช่นนั้นสามารถทำให้ลดลงได้ โดยต้องบำรุงร่างกายด้วยวิตามินบี 6 ไนอาซิน โพแทสเซียม และแมกนีเซียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 6 ซึ่งนอกจากจะช่วยลดอาการปวดเกร็งท้องแล้วยังช่วยให้อาการบวมน้ำลดลงด้วย แล้วถ้าหากรับประทานวิตามินเอ วิตามินบีรวม และโฟเลตเพิ่มเติม ก็จะยิ่งช่วยบรรเทาภาวะอารมณ์กดดันในช่วงเวลานั้นได้อีกด้วย


ส่วนผู้ที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือมาบ้างไม่มาบ้างนั้นก็แก้ไขด้วยการรับประทานวิตามินบีรวม วิตามินซี และธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น แล้วที่สำคัญต้องหมั่นออกกำลังกาย ทำจิตใจให้สดชื่นแจ่มใส และพยายามหลีกเลี่ยงจากความเครียดต่างๆก็จะช่วยปรับให้รอบเดือนมาตรงตามเวลา มากขึ้น


นอกจากแร่ธาตุและสารอาหารต่างๆแล้ว เราสามารถลดอาการปวดท้องเนื่องจากประจำเดือนได้โดยวิธีการดังนี้


1. งดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน และไม่รับประทานอาหารมากเกินไป

หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด และอาหารที่อาจทำให้ระบบทางเดินอาหารปั่นป่วน ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมให้อาการปวดท้องประจำเดือนยิ่งปวดหนักขึ้น
2. ออกกำลังกายเป็นประจำ
เพราะการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกาย นอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์แล้ว ยังช่วยทำให้เลือดประจำเดือนไหลออกมาได้สะดวกขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข หรือฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินเพิ่มขึ้น ซึ่งจะไปช่วยต้านความเจ็บปวดจากการบีบตัวของมดลูกได้เป็นอย่าง

หากปวดท้องมากผิดปกติไม่ควรนิ่งนอนใจ

ประมาณ 5-10% ของผู้หญิงทั่วไป มีอาการปวดท้องมากเกินปกติในทุกๆครั้งที่มีประจำเดือน ถึงขนาดที่ต้องรับประทานยาแก้ปวดในระหว่างที่มีรอบเดือนทุกครั้ง ถ้าเช่นนี้อาจเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากการมีประจำเดือนโดยไม่มีการตกไข่ เรียกเป็นภาษาทางการแพทย์ว่า อันโอวูลาทอรี ไซเคิล (Unovulatory Cycle) ก็เป็นได้ ซึ่งไม่ถือเป็นกรณีที่ร้ายแรงเพราะยังสามารถบรรเทาเยียวยาได้ด้วยยาแก้ปวด และต้องใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ขึ้น

แต่สำหรับสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องมากผิดปกตินอกเหนือจากกรณีดัง กล่าวข้างต้น อาจเป็นกรณีที่เกิดจากโรคร้ายแรงบางอย่างซ่อนอยู่อย่างเช่น โรคเชิงกรานอักเสบ หรือ เอนโดเมทริโอซิส (Endometriosis) ซึ่งเกิดจากการมีเยื่อบุของมดลูกไปก่อตัวขึ้นอยู่ในบริเวณอื่น และถ้าหากมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของต่อไทรอยด์ผิดปกติเข้ามาสมทบด้วย นอกจากจะส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องมากแล้ว ก็จะทำให้เกิดมีเลือดประจำเดือนมามากผิดปกติร่วมด้วย ฉะนั้นเพื่อความไม่ประมาทจึงควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน


มีเลือดออกกะปริดกะปรอยแบบไม่มีช่วงเวลาแน่นอน


การมีเลือดออกกะปริดกะปรอย สำหรับผู้หญิงบางคน บางครั้งอาจเป็นเรื่องปกติซึ่งมักจะมีเลือดออกมาทุกครั้งประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนมีรอบเดือนแบบจริงจัง โดยสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้นอาจเกิดจากการที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนต่ำ เกินไป แต่ถ้าหากการมีเลือดออกกะปริดกะปรอยดังกล่าวเกิดขึ้นแบบไม่มีช่วงเวลาแน่นอน ในแต่ละเดือนเช่นนี้อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับอิทธิพลของฮอร์โมนแต่อาจมีสาเหตุ มาจากเนื้องอก ผังพืด หรือถึงขั้นมะเร็งของมดลูกก็เป็นได้


อาการเจ็บคัดเต้านมก่อนและขณะมีประจำเดือน


ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเพิ่มสูงขึ้นในกระแสเลือด ก่อนที่รอบเดือนจะมามักส่งผลให้เกิดอาการเจ็บคัดเต้านมได้ และโดยปกติอาการดังกล่าวจะหายไปเมื่อประจำเดือนมา หรือเมื่อหมดไป ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากคุณรู้สึกหงุดหงิดกับอาการเช่นนี้ ทางที่ดีก็ควรงดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะ 1 สัปดาห์ก่อนจะมีรอบเดือน ไม่ว่าจะเป็น ชา กาแฟ น้ำอัดลมที่ผสมกาเฟอีนและช็อคโกแลต นอกจากนี้การรับประทานวิตามินอี ก็อาจจะช่วยลดอาการดังกล่าวได้ เพราะวิตามินชนิดนี้มีฤทธิ์ที่ช่วยต่อต้านเอสโตรเจน


อย่างไรก็ตามหากาอาการเจ็บคัดเต้านม ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน หากแต่เกิดจากสาเหตุอื่น เช่นเป็นซีสต์ เนื้องอกเนื้อร้าย หรือเกิดจากการอักเสบของกระดูกซี่โครง เช่นนี้ควรรับปรึกษาแพทย์ทันที


***********iFLoWeRs************

ปีกมดลูกอักเสบ
โดย : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ปีก มดลูกอักเสบ (salpingitis) หมายถึง การอักเสบของท่อรังไข่ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในหญิงวัยเจริญพันธุ์ ระหว่างอายุ15-45 ปี เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผ่านช่องคลอดเข้าไปทางปากมดลูกขึ้นไปในโพรง มดลูก และลุกลามต่อไปจนถึงท่อรังไข่

บางครั้งอาจพบการติดเชื้อร่วมกันในหลายตำแหน่ง และเรียกรวมๆ กันว่า "อุ้งเชิงกรานอักเสบ" (pelvic inflammatory disease หรือ PID)

ภาวะติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานเป็นการติด เชื้อบริเวณมดลูก รังไข่ และท่อรังไข่ สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อผ่านขึ้นมาทางช่องคลอดและปากมดลูก หรือบางรายเกิดจากการติดเชื้อมาตามกระแสเลือด อาจจะมีแหล่งเชื้อโรคมาจากอวัยวะอื่นๆ เช่น ฟันผุ ไซนัสอักเสบ เป็นต้น ปีกมดลูกอักเสบส่วนใหญ่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างหนึ่ง เชื้อโรคที่พบบ่อยคือ เชื้อหนองใน รองลงมาคือเชื้อคลามัยเดีย ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยอาการตกขาวและปวดท้องน้อย ถ้าอาการไม่มากแพทย์ก็จะให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน แต่ถ้าเป็นมาก มีการติดเชื้อรุนแรง หรือมีอาการปวดรุนแรง จำเป็นต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ได้รับยาปฏิชีวนะชนิดยาฉีด
สาเหตุ
  1. โรคนี้พบได้บ่อยในผู้หญิงที่สำส่อนทางเพศ หรือมีสามีที่สำส่อนทางเพศ
  2. อาจพบภายหลังการคลอดบุตร แท้งบุตร ขูดมดลูก ใส่ห่วงคุมกำเนิด
  3. ส่วนหนึ่งมักเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่ชอบสวนล้างช่องคลอด
  4. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จากเชื้อหนองใน Neisseria gonorrhea และเชื้อคลามัยเดีย Chlamydia trachomatis
  5. ในรายที่เกิดการติดเชื้อหลังคลอด สาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่เป็นปกติวิสัยในช่องคลอด เช่น เชื้อสเตรปโตค็อกคัส, สแตฟฟีโลค็อกคัส หรือเกิดจากการปนเปื้อนเชื้อจากภายนอกช่องคลอด เข้าไปในช่องคลอดและมดลูก มักเกิดขึ้นและปรากฎอาการภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
  6. เกิดจากการทำแท้งที่ไม่สะอาด และมีเชื้อโรคแพร่กระจายเข้าในมดลูกและปีกมดลูก
การติดเชื้อโดยทั่วไปจะเกิดขึ้น 2 ระยะ
  1. ระยะแรกเป็นการติดเชื้อที่ช่องคลอดและปากมดลูก
  2. ระยะที่สอง พบว่ามีการลุกลามเข้าไปในโพรงมดลูกและปีกมดลูก กลไกการเกิดโรดส่วนหนึ่งเป็นการจากไหลย้อนของระดู และการที่ปากมดลูกเปิดขณะที่มีประจำเดือน
อาการของโรค
  1. ผู้ป่วยมีอาการไข้ สูง หนาวสั่น ปวดท้องน้อย ตกขาวออกเป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น อาจมีอาการปวดหลัง คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีประจำเดือนออกมาก และมีกลิ่นเหม็นในรายที่เกิดจากการติดเชื้อหนองใน อาจมีอาการขัดเบา ปัสสาวะปวดแสบขัดร่วมด้วย
  2. ถ้าเป็นการติดเชื้อหลังคลอด มักเกิดหลังคลอด 24 ชั่วโมง น้ำคาวปลาอาจออกน้อย หรืออาจออกมากและมีกลิ่นเหม็น
  3. ถ้าเกิดจากการทำแท้ง จะมีอาการแบบแท้งบุตรร่วมด้วย คือ ปวดบิดท้องเป็นพักๆ และมีเลือดออกจากช่องคลอดร่วมด้วย
  4. อาการปวดท้องน้อยเป็นอาการที่พบบ่อยในสตรี ต้องแยกโรคที่เกิดกับอวัยวะต่างๆ เช่น อวัยวะระบบทางเดินอาหาร อาจเป็นลำไส้อักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ อวัยวะระบบทางเดินปัสสาวะ เช่นการเป็นโรคของกระเพาะปัสสาวะ หรือมีการอักเสบของท่อไต ปวดกล้ามเนื้อหน้าท้อง เส้นเอ็น ผิวหนัง
  5. การตรวจร่างกาย และ การตรวจภายใน พบว่ามีไข้สูง กดเจ็บมากตรงบริเวณท้องน้อยทั้ง 2 ข้าง มักจะได้กลิ่นของตกขาว เลือดประจำเดือน หรือน้ำคาวปลา ตรวบพบอาการซีด หรือภาวะช็อก
การวินิจฉัย
  1. จากประวัติอาการเจ็บป่วย ร่วมกับการตรวจร่างกาย และการตรวจภายในอย่างละเอียด การตรวจอัลตร้าซาวน์ ช่วยในการวินิจฉัยภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ โพรงหนองในท่อนำไข่ และช่วยวินิจฉัยแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน เช่น ถุงน้ำในรังไข่ ovarian torsion เป็นต้น
  2. รายงานการศึกษาวิจัยพบว่าร้อยละ 70 ของผู้ป่วยที่ตรวจพบจากอัลตร้าซาวน์ ไม่สามารถตรวจพบได้จากการตรวจทางหน้าท้องและการตรวจภายใน และร้อยละ 80 พบว่าการตรวจอัลต้าซาวน์ทางช่องคลอดได้ผลที่แม่นยำกว่า
  3. อาการปวดท้องน้อยอาจร้าวมาจากอวัยวะ อื่นๆ บริเวณใกล้เคียง แต่อาการปวดท้องน้อยอันเกิดจากอวัยวะบริเวณอุ้งเชิงกราน เกิดขึ้นบ่อยและมีหลายสาเหตุ เช่น พังผืดในอุ้งเชิงกราน เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ เนื้องอก หรือเป็นการปวดประจำเดือนหรือภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ที่พบบ่อยคือการ แท้งบุตรหรือการตั้งครรภ์นอกมดลูก เป็นต้น
  4. อาการปวดท้องน้อยอาจต้องแยกจากภาวะฉุก เฉินอื่นๆ เช่น โรคไส้ติ่งอักเสบ ตั้งครรภ์นอกมดลูก ถุงน้ำรังไข่แตกหรือบิดขั้ว ซึ่งต้องได้รับการผ่าตัด ภาวะอื่นๆ เหล่านี้บางทีอาการคล้ายคลึงกันมากแพทย์เองก็อาจจะตรวจแยกโรคได้ยากในเบื้อง ต้น การตรวจพิเศษและการเฝ้าสังเกตอาการอย่างต่อเนื่องสามารถวินิจฉัยได้ในเวลา ต่อมา
การรักษา
  1. ในรายที่รุนแรง ควรพักรักษาในโรงพยาบาล แพทย์พิจารณาให้การรักษาภาวะติดเชื้อ ดูแลเรื่องสารน้ำและเกลือดแร่ในร่างกาย อาจให้เลือดถ้าถ้าข้อบ่งชี้ และพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะตามเชื้อที่ก่อโรค
  2. ยาปฏิชีวะที่ใช้ได้ผลดี ได้แก่ cephalosporin group, clindamycin, aminoglycosides, fluoroquinolones
  3. ปัจจุบันนี้ยาปฏิชีวนะมีประสิทธิภาพดี สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างกว้างขวาง บางครั้งอาจมีการดื้อยาหรือยาที่ให้ไม่ได้ผล อาจจะเปลี่ยนยากลุ่มใหม่ให้ตรงกับชนิดของเชื้อ โดยได้ผลจากการเพาะเชื้อและทราบชนิดของเชื้อที่เป็นต้นเหตุก่อโรคตัวจริง แต่บางรายเป็นโพรงหนองหรือถุงหนองรังไข่ที่รักษาด้วยยาไม่ดีขึ้น อาจจำเป็นต้องรักษาโดยวิธีผ่าตัดเพื่อกำจัดโพรงหนองหรือถุงหนองรังไข่ออก จากร่างกาย
  4. โรคปีกมดลูกอักเสบมักจะรักษาหายภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ผู้ป่วยบางรายที่มีการติดเชื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานชนิดเรื้อรังหรือเพราะ ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม หรืออาจจะเป็นเชื้อที่ก่อโรคในลักษณะเรื้อรังได้ อาจจำเป็นต้องรักษานาน
ภาวะแทรกซ้อน
  1. ผู้ป่วยอาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ คือ พังผืดในอุ้งเชิงกราน ซึ่งพบได้บ่อยหลังการติดเชื้อ และมักพบด้วยกันเสมอกับการติดเชื้อชนิดเรื้อรัง ซึ่งการเป็นพังผืดแม้ว่าภาวะติดเชื้อจะหายไปแล้วแต่ก็อาจจะมีอาการปวดท้อง น้อยเนื่องจากพังผืดได้เป็นระยะๆ เวลาที่มีการรั้งบริเวณมดลูกหรือปีกมดลูก เช่น การเคลื่อนไหวทำงาน การมีเพศสัมพันธ์ หรือแม้แต่ปวดมากขณะมีประจำเดือน ผู้ป่วยบางรายอาจทรมานถึงกับต้องผ่าตัดเพื่อเลาะพังผืดออก แต่อย่างไรก็สามารถเกิดขึ้นใหม่ได้อีกเพราะพังผืดเกิดจากการผ่าตัดภายในช่อง ท้อง หรือภายในอุ้งเชิงกรานได้ด้วย การผ่าตัดรักษาจึงขึ้นอยู่กับความจำเป็นในผู้ป่วยแต่ละราย ผู้ป่วยที่เป็นมากหรือเรื้อรังจำเป็นต้องหาภาวะที่มีความอ่อนแอของร่างกาย หรือภูมิต้านทานต่ำร่วมด้วย เช่น มีโรคประจำตัวบางชนิด เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง โรคเอดส์ วัณโรค เป็นต้น
  2. เนื่องจากโรคติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานส่วน ใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นควรมีการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ร่วมด้วยเสมอ เช่น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซิฟิลิส ติดเชื้อเอชไอวี เป็นต้น การตรวจหาการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากคู่สมรสก็มีความจำเป็นเช่น เดียวกัน เพื่อจะได้รับการดูแลรักษาไปในขณะเดียวกันด้วย
  3. การทำแท้งเถื่อนอาจทำให้มีการติดเชื้อใน อุ้งเชิงกรานได้ สาเหตุจากเครื่องมือการทำแท้งไม่สะอาด และเชื้อที่ก่อโรคจากการทำแท้งด้วยเครื่องมือที่ไม่เหมาะสมอาจพบว่าเป็น เชื้อที่ร้ายแรง ผู้ป่วยเองมักจะมาพบแพทย์ช้า รักษาไม่ทันกาลถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน

***********iFLoWeRs************

ปีกมดลูกอักเสบ โรคที่ผู้หญิงควรรู้จัก
โดย : สังคมผู้หญิงออนไลน์
ปีก มดลูกอักเสบ เป็นโรคที่ผู้หญิงหลายคนอาจจะยังไม่รู้จักดีนัก เนื่องจากพบไม่สามารถพบได้บ่อยนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสในผู้หญิง ดังนั้นการรู้เท่าทันโรคนี้ไว้ก่อนย่อมดีที่สุด...


อาการและลักษณะของปีกมดลูกอักเสบ

ปีกมดลูกอักเสบ ถือเป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกโรคหนึ่ง ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยอาการตกขาวและปวดท้องน้อย ถ้าอาการไม่มากแพทย์ก็จะให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน แต่ถ้าเป็นมาก มีการติดเชื้อรุนแรง หรือมีอาการปวดรุนแรง จำเป็นต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล และได้รับยาปฏิชีวนะชนิดยาฉีด แม้อาการปีกมดลูกอักเสบสามารถพบได้จากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์แต่ก็สามารถ ติดเชื้อจากกระแสเลือด ซึ่งอาจจะมาจากแหล่งเชื้อโรคมาจากอวัยวะอื่นๆ เช่น ฟันผุ ไซนัสอักเสบ เป็นต้น

โรคปีกมดลูกอักเสบสามารถรักษาหายได้ภายใน 1 - 2 สัปดาห์ แต่ผู้หญิงบางรายที่มีการติดเชื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานชนิดเรื้อรัง จากการที่ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมถูกต้อง อาจก่อให้เกิดเชื้อที่ก่อโรคในลักษณะเรื้อรังได้ ซึ่งจำเป็นต้องรักษาต่อเนื่องและยาวนานขึ้น

ทั้งนี้ผู้หญิงที่มีอาการป่วยอาจมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ คือ พังผืดในอุ้งเชิงกราน ซึ่งพบได้บ่อยหลังการติดเชื้อ และมักพบด้วยกันเสมอกับการติดเชื้อชนิดเรื้อรัง ซึ่งการเป็นพังผืดแม้ว่าภาวะติดเชื้อจะหายไปแล้ว แต่ก็อาจจะมีอาการปวดท้องน้อยเนื่องจากพังผืดได้เป็นระยะๆ เวลาที่มีการรั้งบริเวณมดลูกหรือปีกมดลูก เช่น การเคลื่อนไหวทำงาน การมีเพศสัมพันธ์หรือแม้แต่ปวดมากขณะมีประจำเดือน

ผู้ป่วยบางรายอาจทรมานถึงกับต้องผ่าตัด เพื่อเลาะพังผืดออก แต่อย่างไรก็สามารถเกิดขึ้นใหม่ได้อีก เพราะพังผืดเกิดจากการผ่าตัดภายในช่องท้อง หรือภายในอุ้งเชิงกรานได้ด้วย การผ่าตัดรักษาจึงขึ้นอยู่กับความจำเป็นในผู้ป่วยแต่ละราย ผู้ป่วยที่เป็นมาก หรือเรื้อรังจำเป็นต้องหาภาวะที่มีความอ่อนแอของร่างกาย หรือภูมิต้านทานต่ำร่วมด้วย เช่น มีโรคประจำตัวบางชนิดอย่าง เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง โรคเอดส์ วัณโรค เป็นต้น

***********iFLoWeRs************


ไวรัสเริม..ติดต่อได้จากสิ่งทอ
โดย : นิตยสาร Lisa
เป็นที่รู้กัน ว่าไวรัสเริมสามารถติดต่อกันได้จากการจูบ การสัมผัสกัน และจากน้ำลาย แต่นักวิจัยชาวเยอรมันจากสถาบัน Hygiene and Biotechnology (HB) กล่าวว่า...
ไวรัสเริม (HSV-1) สามารถติดต่อได้จากเสื้อผ้า ผ้าเช็ดหน้า ถ้วยชาม แม้ว่าจะซักผ้าด้วยอุณหภูมิ 40 องศาก็ตาม คือไวรัสเริม HSV-1 สามารถอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิปกติได้ถึง 48 ชม. ซึ่งเมื่อก่อนนี้นักวิจัยก็แสดงให้เห็นมาแล้วว่า ไวรัสเริมสามารถมีชีวิตอยู่ได้เกินกว่า 8 สัปดาห์..ฉะนั้นแล้วต้องระวังเรื่องความสะอาดของเสื้อผ้าด้วย ไม่ใช่จากการจูบ การสัมผัสเท่านั้น..!


***********iFLoWeRs************

โรคเริมรักษาได้..อย่าวิตกจนเกินไป
 
โดย : เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล
คุณ ผู้หญิงคงอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคเริมนี้มาก่อน อาจสงสัยว่าติดโรคนี้เข้าให้แล้วหรือเปล่า และถ้าติดแล้วก้อกังวลว่าเริมจะทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ...
แม้ว่าปัจจุบันเราจะยังไม่สามารถรักษาโรคเริมให้หายขาดได้ แต่ก้อมีวิธีบรรเทาโรคได้และมีวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้อาการโรคกลับมากำเริบ ซ้ำหรือขยายใหญ่โตไปติดต่อคนที่เรารักได้อีก

โรคเริมคืออะไรคะ ?


โรคเริม
เป็นโรคติดเชื้อที่ผิวหนังและเยื่อบุบริเวณปากและอวัยวะเพศ เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เฮอร์ปีซิมเพลกซ์ (Herpes simplex virus) ซึ่งมี 2 ชนิด คือ

1.เฮอร์ปีซิมเพลกซ์ 1 Herpes simplex virus 1 (HSV-1) ถ้าติดเชื้อนี้แล้วมักจะเกิดอาการโรคบริเวณปากและผิวหนังเหนือสะดือขึ้นไป เกิดที่ปากเรียก Herpes labialis โรคนี้ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์


2.เฮอร์ปีซิมเพลกซ์ 2 Herpes simplex virus 2 (HSV-2) มักเกิดบริเวณอวัยวะเพศและติดต่อโดยเพศสัมพันธ์เรียก Herpes genitalis


แล้วจะติดโรคได้อย่างไรกัน ?


ทุกๆคนจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อนี้ได้ทั้งนั้น เชื้อไวรัสเริมติดต่อทางการสัมผัสโดยตรงกับผู้ได้รับเชื้อที่มีแผลถลอกอยู่ โดยเจ้าเชื้อนี้สามารถเคลื่อนผ่านรอยแตกเล็กๆ บริเวณผิวหนัง หรือเยื่อบุผิวที่ชุ่มชื้นบริเวณริมฝีปาก ช่องคลอด หรือทวารหนัก ทำให้เชื้อเริมเข้าไปได้


เช่นเดียวกัน มีรายงานการติดเชื้อเริมจากการเข้าห้องน้ำสาธารณะ บางคนเป็นเริมที่นิ้วมือ ติดจากการจับมือกัน การโหนราวรถเมล์ การจับลูกบิดประตูห้องน้ำสาธารณะ การจับโทรศัพท์สาธารณะ โดยทั่วระยะเวลาฟักตัวของไวรัสเริมประมาณ 2-20 วัน


โดยเชื้อ (HSV-1) จะติดต่อทางสารหลั่งในปาก โดยมากมักพบเริมที่บริเวณริมฝีปาก หรือบริเวณอวัยวะเพศ การจูบหรือดื่มน้ำแก้วเดียวกันทำให้เชื้อเริมติดต่อได้


ส่วน (HSV-2) การมีเพศสัมพันธ์ขณะที่อีกฝ่ายกำลังเป็นเริมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ปกติ ทางปาก หรือทางทวารหนัก เชื้อจะติดต่อไปยังอวัยวะเพศและทวารหนัก เมื่อเชื้อเข้าทางผิวหนังเชื้อจะไปตามเส้นประสาททำให้เชื้อลามเป็นบริเวณ กว้างและอาจจะเกิดผื่นที่บริเวณใหม่ ที่พบมากในผู้ชาย คือบริเวณองคชาติ อัณฑะ หรือก้น ส่วนในผู้หญิงมักเป็นบริเวณปากช่องคลอดภายนอกหรืออาจเป็นภายในช่องคลอดก็ได้


ฉันอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะติดโรคนี้ไหม ? จะได้ป้องกันไว้ก่อน


ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อเริมที่ปากคือวัยเด็กอายุ 4-5 ปีมักติดต่อทางการสัมผัสเช่นการใช้ของร่วมกัน ส่วนผู้ใหญ่ก้อมักจะติดต่อกันโดยการจูบ ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เชื้อนี้ยังสามารถติดต่อจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งโดยเฉพาะที่ตาโดยการสัมผัส ด้วยมือ การป้องกันก็ต้องหมั่นล้างมือทำความสะอาด


ส่วนผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อเริมที่อวัยวะเพศ (HSV-2) การติดเชื้อเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะทางตรงจากการมีการร่วมรักกันตามปกติหรือทางปาก oral sex จึงควรต้องระวังเป็นพิเศษสังเกตคู่ของคุณดูด้วยว่า บริเวณริมฝีปากและบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ มีแผลหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นแผลเริม การป้องกันควรงดมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้ถุงยางคุมกำเนิดขณะมีอาการติดเชื้อ ส่วนเด็กทารกมักจะติดเชื้อในแม่ที่ติดเชื้อ HSV-2 และมีการคลอดก่อนกำเนิดหรือต้องใช้เครื่องมือในการคลอด


มีรายงานพบว่าบางคนเป็นเริมที่นิ้วมือ อาจเกิดจากการจับมือกัน การโหนราวรถเมล์ การจับลูกบิดประตูห้องน้ำสาธารณะ การจับโทรศัพท์สาธารณะ โดยทั่วระยะเวลาฟักตัวของไวรัสเริมประมาณ 2-20 วัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรายงานการศึกษาแม้จะไม่มีผื่นหรืออาการเชื้อก็สามารถ แพร่ออกมาได้ ดังนั้นจึงไม่ยืนยันว่าว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่มีอาการจะปลอดภัยจาก โรคเริมได้


ถ้าคิดว่าฉันติดเชื้อเข้าให้แล้ว จะมีอาการของการติดเชื้ออย่างไรบ้าง ?


หากว่าสงสัยว่าตัวคุณผู้หญิงนั้นจะมีโอกาสติดเชื้อนี้เข้าบ้างไหมเพราะมี ปัจจัยเสี่ยงเสียเหลือเกินเช่น คู่ของคุณมีแผลบริเวณดังกล่าว หรือการไม่ได้สวมถุงยางอนามัย เอาหล่ะถ้าติดเชื้อไปแล้ว อาการเริ่มต้นที่คุณจะรู้สึกและสังเกตได้ก็คือจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนตรง ตำแหน่งที่ได้รับเชื้อ อาการของการติดเชื้อที่ปากและที่อวัยวะเพศจะเหมือนๆกันเพียงแต่ขึ้นกันคนละ ที่


อาการจะแบ่งเป็น


1. การเป็นครั้งแรก Primary Infection เริ่มด้วยอาการปวดแสบร้อน อาจมีอาการคัน เจ็บจี้ดๆหรือปวดแสบปวดร้อนบ้าง ต่อมาจะมีอาการบวมและอีก 2-3 วันจะมีตุ่มน้ำพองใสเหมือนหยดน้ำเล็กๆ มีขอบแดง ตุ่มน้ำมักจะแตกออกใน 24 ชั่วโมงและตกสะเก็ดเป็นแผลถลอกตื้นๆ ตุ่มอาจจะรวมเป็นกลุ่มใหญ่และเป็นแผลกว้างทำให้ปวดมาก โดยทั่วไปหากรักษาความสะอาดได้ดีไม่ให้ติดเชื้อซ้ำหรือมีหนอง แผลที่เกิดจากตุ่มจะหายเองได้ใน 2-3 สัปดาห์ ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ ปาก ริมฝีปาก ตา เมื่อแผลแห้งแล้วจะไม่ติดต่อ ระหว่างที่เป็นผื่นต่อมน้ำเหลืองใกล้ๆเช่นรักแร้หรือขาหนีบอาจจะโต และอาจจะมีไข้ปวดเมื่อยตามตัวได้


หลังจากนั้นจะเข้าสู่ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding ช่วงนี้เชื้ออยู่ในร่างกายโดยที่ไม่เกิดอาการอะไรเลยเหมือนปกติทั่วไป แต่เชื้อก้ออาจจะแบ่งตัวและสามารถติดต่อได้โดยเฉพาะเชื้อที่อวัยวะเพศแม้ว่า จะไม่มีผื่น


2. การกลับมาเป็นซ้ำ Recurring Infections เมื่อมีการติดเชื้อครั้งแรกแล้ว หลังจากนั้นจะมีการกลับเป็นผื่นใหม่เป็นระยะๆ เนื่องจากร่างกายกำจัดเชื้อไวรัสได้ไม่หมด การกลับมาเป็นใหม่ของโรคเริมแต่ละครั้งมักมีอาการน้อยกว่าและเป็นเกิดเป็น พื้นที่น้อยกว่าไม่ค่อยมีไข้ แต่มักเป็นบริเวณใกล้ๆกับที่เดิมโดยเฉพาะที่อวัยวะเพศ ผู้ที่เป็นโรคนี้มาแล้วมักรู้สึกว่ามี “อาการเตือน” นำมาก่อน ได้แก่ตุ่มน้ำมาก่อน 1–3 วัน เจ็บเสียวแปลบๆ คันยุบยิบ ปวดแสบปวดร้อนในบริเวณรอยโรคเดิม


ตรงนี้แหละครับที่ผู้ป่วยมักจะรำคาญ เพราะการเป็นเริมครั้งถัดๆ มา จะไม่ใช่เป็นการติดเชื้อใหม่ แต่เป็นเชื้อเดิมที่หายแล้วแต่จะซ่อนตัวอยู่ในบริเวณปมประสาทที่อยู่ใกล้ เคียงในร่างกายคุณ เมื่อมีการกระตุ้น ก็จะย้อนแนวเส้นประสาทออกมาแสดงอาการได้อีก


การรักษา ถึงเวลาไปพบแพทย์หรือเภสัชกรได้แล้ว..


โดยทั่วไปแล้ว โรคเริมนี้สามารถหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา การใช้ยาต้านไวรัสไม่ได้ช่วยให้หายขาด เพียงแต่ช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดความถี่และลดระยะเวลาที่เป็นช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เว้นเสียแต่ในรายที่เพิ่งเริ่มแสดงอาการ หรือมีภูมิต้านทานบกพร่อง หรือไม่มีแนวโน้มที่แผลจะหายได้เอง จึงควรที่จะได้รับยาต้านไวรัสที่จำเพาะกับโรค ร่วมไปกับยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่อาจติดตาม ตุ่มน้ำที่แตกออกมา


1. ยาทาที่นิยมใช้ ได้แก่ Acyclovir จะได้ผลในด้านลดอาการปวด ทำให้ผื่นแห้งเร็วขึ้น ยาทาซึ่งมีส่วนผสมของ steroid ไม่ควรใช้เพราะแผลจะหายช้า


2. ยาชนิดรับประทาน ได้แก่ Acyclovir, Valacyclovir, Famciclovir นิยมใช้ในกรณีสำหรับผู้ที่มักจะกลับเป็นซ้ำได้บ่อย


อย่าวิตกจนเกินไป โรคเริมสามารถควบคุมและรักษาได้


สุขอนามัยที่ดีเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากเมื่อคุณผู้หญิงเริ่มมีอาการของโรคเริม การดูแลแผลเริมอย่างถูกวิธีจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และลดโอกาสการแพร่กระจายไปถึงผู้อื่น ลองมาฟังคำแนะนำเคล็ดลับน่ารู้ในการดูแลและควบคุมโรคเริมดีไหมครับ


* ความเครียด การทำงานหนักมากเกินไป นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานของร่างกายลดน้อยลง ทำให้ติดเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น หรือถ้าเป็นโรคนี้อยู่แล้ว ก็จะมีอาการโรคแย่ลง ระยะเวลาเป็นโรคนานขึ้น หรือกลับมามีการกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อยยิ่งขึ้น


* เชื้อไวรัสเริมชอบอากาศร้อนชื้นเหงื่อออกง่ายและเกลียดความแห้งสะอาด อย่าใช้สิ่งใดๆ ไปปิดหรือพันบริเวณแผลเริม ความแห้งและอากาศที่ถ่ายเทได้ดีจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น พยายามซับและดูแลแผลให้แห้งตลอดเวลา


* ถ้าตุ่มน้ำใสแตกออกมา ให้ทำความสะอาดแผลเริมด้วยน้ำสบู่และน้ำสะอาดก็เพียงพอแล้ว


* อย่าแกะสะเก็ดแผลเริม ไม่ได้ช่วยให้หายเร็วขึ้นเลยครับ


* สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่คับแต่หลวมสบายอากาศถ่ายเทสะดวก การใส่ชุดชั้นในที่เป็นไนลอนจะทำให้อับชื้นง่าย ควรใช้เสื้อผ้าที่มาจากใยธรรมชาติก็จะโล่งโปร่งสบาย อย่าใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่นจะได้ไม่แพร่เชื้อต่อไป


* ถ้าปวดแผลให้ใช้ยาระงับปวดทั่วๆไป


* หากมีแผลบริเวณปากช่องคลอด จะปวดแสบแผลเวลาปัสสาวะได้ การนั่งแช่ก้นในน้ำอุ่นจะบรรเทาปวดแสบได้ผล


***********iFLoWeRs************

การสวนล้างช่องคลอด
 
โดย : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ช่องคลอดของผู้หญิงมีลักษณะเป็นถุงตัน ผนังถุงนั้นปกติจะชิดติดกัน ยกเว้นคนที่เคยผ่านการคลอดบุตรมาแล้ว
ผนัง ของถุงอาจจะแยกออกจากกันและปากถุงมีลักษณะเผยอได้ ผนังช่องคลอดจะมีลักษณะขรุขระคล้ายลูกคลื่น โดยเฉพาะในวัยสาวจะเห็นเด่นชัด แต่ในวัยใกล้หมดประจำเดือนหรือที่เรียกกันว่าวัยทอง ลูกคลื่นนี้จะแบนราบลง กลายเป็นหนังเรียบและบาง สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะการขาดฮอร์โมนที่เกิดขึ้นในช่วงวัยทองนั่น เอง
ถัดจากปากช่องคลอดด้านนอกเข้ามา 3-4 มิลลิเมตร จะ มีเยื่อหนาตัวเป็นวงแหวนล้อมรอบช่องคลอด เรียกว่าเยื่อพรหมจรรย์ โดยทั่วไปเชื่อกันว่าเยื่อพรหมจรรย์จะฉีกขาดเมื่อมีการร่วมเพศครั้งแรก ส่วนความลึกของช่องคลอดนั้นเมื่อคลำเข้าไปด้านหน้า ลึกไม่เกิน 6-7 เซนติเมตร คลำไปด้านหลัง ลึกไม่เกิน 8-9 เซนติเมตร เนื่องจากช่องคลอดด้านหลังลึกกว่าด้านหน้า ตรงบริเวณกลางๆ ของก้นถุงช่องคลอดจะมีปากมดลูก ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนกลมแข็ง คล้ายยางลบดินสอยื่นยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ตรงกลางของปากมดลูกจะมีรูปากมดลูก
ภายในช่องคลอดนั้นตามปกติของคนวัยสาวจะอยู่ในสภาพเป็นกรด เพราะ ผนังช่องคลอดของคนวัยสาวนั้นถูกกระตุ้นโดยฮอร์โมนเพศที่ชื่อเอสโตรเจน ฮอร์โมนเอสโตรเจนกระตุ้นเซลบุผนังช่องคลอดให้สะสมสารคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง ชื่อไกลโคเจน (Glyclgen) สารไกลโคเจนนี้จะถูกแบคทีเรียในช่องคลอดที่มีอยู่แล้วเปลี่ยนเป็นกรดแลคติค และกรดแลคติคนี้เองช่วยรักษาสภาพกรดด่างของช่องคลอดไว้
image
ความสำคัญของสภาวะกรดด่างของช่องคลอด เพื่อ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่มักก่อให้เกิดการอักเสบติดเชื้อภาย ในช่องคลอด เมื่อช่องคลอดเป็นกรด โอกาสติดเชื้อทางช่องคลอดก็น้อยลง สำหรับตกขาวธรรมดานั้น จะมีสีขาวปนมูก ไม่คัน ไม่มีกลิ่นเหม็น จำนวนไม่มาก เกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุผนังช่องคลอดตามธรรมชาติ และแบคทีเรียที่อาศัยเป็นปกติอยู่ภายในช่องคลอด ดังนั้นตามปกติคนในวัยสาวซึ่งยังไม่มีเพศสัมพันธ์ ช่องคลอดก็มักเป็นกรดอยู่แล้ว ไม่ค่อยมีการติดเชื้อผิดปกติอะไร จึงไม่จำเป็นต้องสวนล้างเอาตกขาวธรรมดาออก แต่ในกรณีที่ต้องการให้ช่องคลอดเป็นกรด เพื่อป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ซ้ำ เช่น คนที่เคยติดเชื้อรารักษาหายแล้ว คนที่เคยติดเชื้อโรคต่างๆ รักษาหายแล้ว หรือคนในวัยหมดประจำเดือนซึ่งช่องคลอดมักจะอยู่ในสภาพเป็นด่าง อาจพิจารณาสวนล้างช่องคลอดเพื่อให้กลับมามีสภาพเป็นกรดได้
ข้อควรระวังในการสวนล้างช่องคลอด คือ ไม่ควรสวนล้างในกรณีที่มีการติดเชื้อของช่องคลอดอยู่ เพราะจะนำเชื้อเข้าสู่ปากมดลูก เกิดการอักเสบของมดลูกและท่อนำไข่อย่างรุนแรงได้ และไม่ควรใช้หัวสวนที่แข็งเกินไป เพราะอาจจะเกิดการถลอก หรือเกิดบาดแผลในช่องคลอดได้ สำหรับอุปกรณ์การสวนล้าง น้ำ น้ำยา ตลอดจนนิ้วมือผู้สวนล้างต้องสะอาด อีกประการหนึ่งที่สำคัญต้องระวังอย่าใช้น้ำร้อนเกินไปสวนล้างเพราะจะทำให้ ผนังช่องคลอดได้รับอันตรายได้ โดยทั่วไปไม่ควรสวนล้างบ่อยๆ เกินวันละหนึ่งครั้ง การสวนล้างเพื่อให้ช่องคลอดมีอนามัยที่ดี อยู่ในสภาพเป็นกรดเพื่อลดการติดเชื้อโรคต่างๆ นั้น ต้องใช้น้ำยาที่มีส่วนประกอบเป็นกรดเช่นกรดแลคติคหรือน้ำส้มสายชู
image
สำหรับสตรีตั้งครรภ์ ไม่ควรสวนล้างเกินอาทิตย์ละสองครั้ง ไม่ ควรใช้น้ำร้อน และไม่ควรบีบน้ำยาเข้าช่องคลอดอย่างรุนแรง เพราะจะเกิดการแท้งหรือการคลอดก่อนกำหนดได้ สำหรับคนทั่วไป ไม่ควรสวนล้างบ่อยๆ เกินวันละหนึ่งครั้ง เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองจากน้ำยาสวนล้าง เกิดช่องคลอดแห้งหรือเจ็บแสบได้ การนิยมสวนล้างช่องคลอดมีอีกกรณีที่นิยมกัน คือ สวนล้างหลังมีเพศสัมพันธ์ แต่วิธีนี้ใช้เพื่อทำความสะอาดเท่านั้น ไม่สามารถคุมกำเนิดได้ และในทางปฏิบัติแล้วการสวนล้างเพื่อทำความสะอาดหลังร่วมเพศ อาจจะใช้เพียงน้ำสะอาดธรรมดาเท่านั้นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาแต่อย่างใด

***********iFLoWeRs************

ล่มปากอ่าว
 
โดย : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ภาวะล่ม ปากอ่าว (Premature Ejaculation) หมายถึงการที่ผู้ชายบรรลุจุดสุดยอดโดยการหลั่งน้ำอสุจิออกมาในขณะที่เริ่มมี เพศสัมพันธ์ หรือในขณะที่ฝ่ายหญิงยังไม่ถึงจุดสุดยอด ปัญหาการหลั่งน้ำอสุจิเร็ว พบได้มากถึงร้อยละ 30-40

จัด เป็นปัญหาทางเพศที่พบได้บ่อยที่สุดในเพศชาย มักพบในวัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ตอนต้น เมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเกิดความรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก จะทำให้เมื่อได้สอดใส่อวัยวะเพศเข้าไปในอวัยวะเพศหญิงแล้วก็จะถึงจุดสุดยอด ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ชาวบ้านอาจเรียกว่า "นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ" หรือ "ล่มปากอ่าว" เมื่อ เกิดเหตุการณ์ขึ้นเช่นนี้คนที่เป็นจะเกิดความวิตกกังวลตามมา เช่น รู้สึกกลัวว่าฝ่ายหญิงจะไม่พึงพอใจ ฝ่ายหญิงจะดูถูก จะทำให้ฝ่ายหญิงไม่มีความสุข ถ้าแต่งงานจะมีปัญหา ฯลฯ บางคนพยายามทดลองดูในครั้งต่อไป ก็พบว่าเป็นเหมือนเดิมอีก ทดลองหลายๆ ครั้งเลยหมดความเชื่อมั่นในตนเอง กลายเป็นความวิตกกังวลเก็บสะสมฝังลึก ซึ่งจะยิ่งทำให้เกิดอาการล่มปากอ่าวง่ายขึ้น
โดย ปกติทั่วไปคนเราจะใช้เวลาร่วมเพศนับจากการสอดใส่ เฉลี่ยอยู่ที่ 8-15 นาที ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยในชาวตะวันตกอาจนานถึง 30 นาที ในกรณีที่เกิดปัญหาการหลั่งน้ำอสุจิเร็วอาจทำให้สามีภรรยาไม่ประสบความ สำเร็จในชีวิตคู่ เนื่องจากไม่มีความสุขเพียงพอจากการมีเพศสัมพันธ์ กลไกการหลั่งน้ำอสุจิขณะมีเพศสัมพันธ์ต้องอาศัยพัฒนาการของระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โรคหนึ่งที่ใกล้เคียงการหลั่งเร็วมากคือ การปัสสาวะรดที่นอนในเด็ก เพราะในเด็กยังไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้ ในช่วงเวลากลางวันเด็กจะสามารถควบคุมการปัสสาวะได้ตอนอายุประมาณ 2 ปี และช่วงเวลากลางคืน เด็กจะสามารถควบคุมได้เมื่ออายุประมาณ 3-4 ปี และอยู่ในช่วง 6 ปีแรกซึ่งการพัฒนายังไม่คืบหน้า เด็กก็อาจจะยังปัสสาวะรดที่นอนเป็นครั้งคราว
ลักษณะของโรค
  1. พบว่ามีการหลั่งน้ำอสุจิ เมื่อมีการร่วมเพศไปเพียงเล็กน้อย หรือก่อนการสอดใส่อวัยวะเพศ หรือบางรายหลั่งน้ำอสุจิแม้กระทั่งยังไม่ทันได้สอดใส่อวัยวะเพศ
  2. คู่นอนถึงจุดสุดยอดไม่ถึงร้อยละ 50 เช่น มีการร่วมเพศกัน 10 ครั้ง คู่นอนบรรลุจุดสุดยอดไม่เกิน 5 ครั้ง
  3. อาการดังกล่าวไม่ได้มีผลมาจากการใช้ยา หรือสารเสพติด
สาเหตุ
  1. สาเหตุส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของร่างกาย
  2. การมีเพศสัมพันธ์กับหญิงบริการทางเพศ หรือมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ผ่อนคลาย จะทำให้เกิดปัญหาการหลั่งน้ำอสุจิเร็วได้ง่าย เพราะมีความวิตกกังวลแฝงอยู่ เช่น กลัวเกิดโรค กลัวคนอื่นเห็น กลัวผิดศีลธรรม เป็นต้น
  3. ปัญหาการหลั่งน้ำอสุจิเร็วสำหรับผู้ที่อยู่ใน ช่วงวัยรุ่นมากๆ และมีประสบการณ์น้อย อาจเกิดจากภาวะที่ช่องคลอดฝ่ายหญิงแคบมาก ขณะมีเพศสัมพันธ์เกิดการเสียดสีมาก อีกทั้งฝ่ายชายไม่มีประสบการณ์ ทำให้เกิดการหลั่งเร็วได้ เมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง ประสาทที่รับสัมผัสในระหว่างมีเพศสัมพันธ์เริ่มปรับตัวให้ชิน และสามารถควบคุมได้ ปัญหาการหลั่งเร็วจะหายไปได้เอง
  4. เกิดจากกระบวนการทางจิตใจ คนที่หลั่งเร็วมากมักมีสาเหตุมาจากความกังวล ความกลัว ความเร่งรีบ การลักลอบมีเพศสัมพันธื ไม่ใช่ที่นอนหรือสถานที่ของตัวเอง ในสถานะการณ์ตื่นเต้น จะกระตุ้นให้ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานมากเกินปกติ
  5. ภาวะการหลั่งเร็วเป็นกลไกของการปลดปล่อยจาก สัญญาณประสาท อาจเรียกว่าประสาทตื่นเต้น ความตื่นเต้นเมื่อถึงจุดหนึ่งจะทำให้บรรลุจุดสุดยอด ในการมีเพศสัมพันธ์ความตื่นเต้นเกิดจากสัมผัส ความสั่นสะเทือน และการเสียดสีอยู่แล้ว หากมีภาวะที่เพิ่มความตื่นเต้นไปอีก ก็จะทำให้หลั่งเร็วได้
การรักษาและแนวทางปฏิบัติ
  1. เทคนิกที่เรียกว่า squeeze technique แนะนำให้ผู้ชายฝึกขณะมีเพศสัมพันธ์ และกำลังจะบรรลุจุดสุดยอด ให้คู่นอนบีบที่บริเวณคอของอวัยวะเพศประมาณ 2-3 วินาที แล้วปล่อย จากนั้นให้รอประมาณ 30 วินาที จึงเริ่มมีเพศสัมพันธ์ต่อ การฝึกเช่นนี้จะทำให้ผู้ฝึกมีความรู้สึกที่สามารถกลั้นไม่ให้บรรลุจุดสุดยอด ได้ ในที่สุดก็จะช่วยให้ไม่เกิดภาวะล่มปากอ่าวอีก
  2. การรักษาให้หายขาดทำได้ง่าย แต่ต้องรักษาพร้อมกันทั้งสามีภรรยา ควรไปพบจิตแพทย์พร้อมกัน การรักษาแต่ฝ่ายชายฝ่ายเดียวมักจะไม่ได้ผล
  3. วิธีบำบัด sexual therapy บางรายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบำบัดปัญหาทางเพศอาจแนะนำให้สำเร็จความใคร่ด้วยตน เอง 1-2 ชั่วโมงก่อนมีเพศสัมพันธ์ บางรายอาจให้หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยเลือกใช้อุปกรณ์เสริมช่วยในการบำบัดอาการ
  4. การใช้ยาในกลุ่มออกฤทธิ์ต้านอาการซึมเศร้ามีผลทำ ให้การบรรลุจุดสุดยอดช้าขึ้น อาจนำมาใช้รักษาอาการหลั่งน้ำอสุจิเร็วได้ เช่น selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) ได้แก่ sertraline (Zoloft), paroxetine (Paxil) หรือ fluoxetine (Prozac)
  5. บางรายตอยสนองดีต่อการใช้ยาในกลุ่ม tricyclic antidepressant clomipramine (Anafranil) นิยมใช้ยาในขนาดต่ำ 2-3 ชั่วโมงก่อนมีเพศสัมพันธ์
  6. การใช้ครีมชนิด topical anesthetic creams ได้แก่ lidocaine หรือ prilocaine ทำให้เกิดความรู้สึกชาที่ปลายองคชาติ เท่าที่มีรายงานพบว่าได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร



***********iFLoWeRs************

โรคหนองใน
โดย : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
โรค หนองในเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoea เชื้อนี้จะทำให้เกิดโรคเฉพาะที่บริเวณเยื่อเมือก

image เช่น เยื่อเมือกในท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก เยื่อบุมดลูก ท่อรังไข่ ทวารหนัก เยื่อบุตา เยื่อเมือกในลำคอ ปัจจุบันพบว่าความชุกของโรคหนองในลดลง เนื่องจากมีการใช้ถุงยางอนามัยเพิ่มขึ้น จากการรณรงค์ให้ใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี

สาเหตุ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoeae เชื้อ โรคเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุท่อปัสสาวะในผู้ชาย และทางปากมดลูกและท่อปัสสาวะของผู้หญิง ทำให้เกิดโรคโดยเชื้อแบคทีเรียเกาะจับเซลล์เยื่อบุชนิดที่ไม่มีขนโบก และสร้างสารพิษ lipopolysaccharide endotoxin รวมทั้งสร้างเอ็นไซม์ IgA proteases ทำให้ความสามารถในการก่อโรคเพิ่มมากขึ้น
ระยะฟักตัว 1 – 14 วัน แต่ ที่พบบ่อยคือ 3 – 5 วัน โรคหนองในติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะทางปาก ช่องคลอดหรือทางทวาร การร่วมเพศทางปากจะทำให้เชื้อสามารถติดต่อจากปากไปอวัยวะเพศ หรือจากอวัยวะเพศไปยังปาก หากช่องคลอดหรืออวัยวะดังกล่าวปนเปื้อนหนองที่มีเชื้อก็สามารถติดเชื้อนี้ ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการร่วมเพศ ถ้ามีคู่ขามาก ก็จะยิ่งมีโอกาสติดเชื้อเพิ่มขึ้น การจับมือหรือการนั่งฝาโถส้วมไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อ

อาการ
  1. imageผู้ชาย จะมีอาการปัสสาวะแสบและมีหนองไหล บางรายอาจมีอาการน้อย หรือ ถ้าเป็นมากอาจจะมีอาการแทรกซ้อนได้ มักจะเกิดอาการหลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว 2-5 วัน อาการเริ่มแรกจะรู้สึกระคายเคืองท่อปัสสาวะ หลังจากนั้นจะมีอาการปวดแสบเวลาปัสสาวะ แล้วจึงตามด้วยมีหนองสีเหลืองไหลออกจากท่อปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด อัณฑะบวม หรือมีการอักเสบ
  2. ผู้หญิง ตกขาวมีกลิ่นเหม็น เป็นหนองหรือมูกปนหนอง ปัสสาวะแสบขัด ปวดท้องน้อย อาจมีอาการอักเสบที่ท่อปัสสาวะ ปากมดลูก ช่องทวารหนัก ถ้าเป็นมากจะมีอาการแทรกซ้อน เช่น เป็นฝีของต่อมบาร์โทลิน
    เชื้อ โรคอาจลุกลามเข้าสู่โพรงมดลูก ปีกมดลูก ทำให้อุ้งเชิงกรานอักเสบ จนอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการตั้งครรภ์นอกมดลูก หรืออาจเป็นหมันได้ ผู้หญิงที่ได้รับเชื้อนี้จะมีอาการช้ากว่าผู้ชายโดยเฉลี่ยจะเกิดอาการหลัง ได้รับเชื้อแล้ว 1-3 สัปดาห์
นอกจากนี้ ทั้งชายและหญิงอาจติดโรคที่ลำคอหากมีการร่วมเพศทางปาก
สำหรับทารกแรกเกิด เชื้อ หนองในอาจเข้าตาทำให้ตาอักเสบ ขณะคลอดผ่านช่องคลอดมารดาที่มีเชื้อหนองในอยู่ เมื่อเชื้อหนองในเข้าตาเด็ก จะทำให้ตาอักเสบ ถ้าไม่รีบรักษาตาอาจบอดได้ ดังนั้น ทารกเกิดใหม่จะต้องได้รับการหยอดตาด้วยยาปฏิชีวนะทุกราย เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ดวงตา
ถ้ามีการกระจายของเชื้อในกระแสเลือดจะ ทำให้เกิดการอักเสบของข้อ ที่พบบ่อยคือ ข้อบริเวณข้อมือ หรือเท้า อาจพบที่ข้อศอก หรือหัวเข่าได้ รอยโรคที่ผิวหนัง ซึ่งเกิดจากการอักเสบที่เส้นเลือดของผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นตุ่มหนองอยู่บนฐานสีแดง กดเจ็บ มักพบที่บริเวณมือ เท้า และแขนขาส่วนปลาย
การติดเชื้อหนองในระหว่างตั้งครรภ์จะ จำกัดอยู่เฉพาะบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ส่วนล่างได้แก่ บริเวณท่อปัสสาวะ บริเวณด้านข้างของท่อปัสสาวะ ต่อมบาร์โทลิน บริเวณปากช่องคลอด หรือบริเวณปากมดลูก หญิงตั้งครรภ์อาจพบว่ามีการติดเชื้อหนองในบริเวณคอหอยและทวารหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการมีพฤติกรรมทางเพศที่เปลี่ยนไปในระหว่างตั้งครรภ์ได้แก่ มีการร่วมเพศทางปากและทางทวารหนักเพิ่มขึ้น ดังนั้นในหญิงตั้งครรภ์ที่สงสัยว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อหนองในควร ทำการเพาะเชื้อหนองใน ตอนมาฝากครรภ์ครั้งแรก และอีกครั้งตอนอายุครรภ์ประมาณ 28 สัปดาห์

การวินิจฉัย
โรคหนองในสามารถให้การวินิจฉัยได้จากลักษณะประวัติอาการ การตรวจหนองด้วยการย้อมหาเชื้อ การเพาะเชื้อต้นเหตุ เทคนิคใหม่ PCR สามารถตรวจได้ทั้งจากหนองและปัสสาวะ ทั้งนี้แพทย์จะตรวจหาโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นๆ ร่วมด้วย
image
ภาวะแทรกซ้อนในกรณีที่ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ในผู้ชายอาจเกิด ภาวะต่อมลูกหมากอักเสบ อัณฑะอักเสบ ท่อปัสสาวะตีบ ทำให้ปัสสาวะไม่ออกและทำให้เป็นหมันได้ สำหรับผู้หญิง อาตเกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ
ปวดประจำเดือน แท้ง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปากมดลูกอักเสบ

แนวทางการรักษา
  1. โรคหนองในรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะกลุ่ม Cephalosporin และ Quinolone อาจเป็นชนิดรับประทานหรือชนิดยาฉีด ยาที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ Cefixime, Ceftriaxone, Ciprofloxacin, Ofloxacin, Levofloxacin เป็นต้น
  2. เนื่องจากเชื้อมีการดื้อยามากขึ้น จึงต้องรับประทานยาให้ครบ และตรวจซ้ำตามที่แพทย์แนะนำ
  3. ผู้ป่วยโรคหนองในแท้มักจะมีหนองในเทียมร่วมด้วย จึงต้องรักษาพร้อมกันทั้งสองโรค
  4. ต้องนำหรือแนะนำให้คู่สามี-ภรรยาไปตรวจรักษาด้วย
ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ



***********iFLoWeRs************


โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

โดย : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
โรค เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย ที่พบเป็นปัญหาได้บ่อยคือการที่ไม่สามารถที่จะทำให้อวัยวะเพศแข็งตัว หรือคงสภาพการแข็งตัว

 เป็นเวลานานพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ตามปกติได้ ปัจจุบันนิยมเรียกว่า "โรคอีดี" (Erectile Dysfunction) ความ เครียด ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกิน ยาบางอย่างเช่น ยารักษาภาวะซึมเศร้า ยานอนหลับ อาจมีผลทำให้เกิดการเสื่อมสมรรภาพทางเพศได้ หนึ่งในเวชภัณฑ์ที่กำลังได้รับความสนใจมากที่สุดขณะนี้ คือ ยารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งผู้ที่เป็นโรคนี้ มักมีปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากอวัยวะเพศไม่แข็งตัว หรือแข็งตัวได้ไม่นานพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้สำเร็จเป็นที่พึงพอใจ อาการเช่นนี้มักเกิดอยู่เป็นประจำ หรือไม่ก็เป็นอย่างต่อเนื่อง
โครงสร้างของอวัยวะเพศชาย
อวัยวะเพศของผู้ชายประกอบไปด้วยท่อสามท่อเหมือนฟองน้ำเรียกว่า corpus carvernosum สองท่อวิ่งขนานกับท่อปัสสาวะ อยู่ด้านบน และ corpus spongiosum 1 ท่อวิ่งอยู่ด้านล่าง เมื่อได้รับการกระตุ้นเลือดจะเข้าท่อฟองน้ำ ทำให้สามารถขยายได้มากถึง 7-9 เท่า ทำให้อวัยวะเพศใหญ่ขึ้น และ แข็งตัวเต็มที่ ตราบเท่าที่ยังมีการตื่นเต้นทางเพศ อวัยวะเพศก็ยังแข็งตัว แต่เมื่อมีการหลั่งเลือดออกจากอวัยวะเพศทำให้มีการอ่อนตัว
กลไกการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย
  1. หลอด เลือดแดงที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศต้องไม่ตีบ เพราะการที่อวัยวะเพศจะแข็งตัวต้องมีเลือดไปคั่ง หากมีหลอดเลือดแดงแข็งเลือดก็ไม่สามารถไปเลี้ยงได้อย่างเต็มที่ ภาวะที่ทำให้หลอดเลือดแข็งได้แก่ ผู้ที่สูบบุหรี่ โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
  2. ระบบประสาทส่วนปลายซึ่งเป็นระบบที่จะรับความรู้สึกที่เกิดจากการสัมผัสทางร่างกาย
  3. ระบบไขสันหลังซึ่งเป็นระบบที่จะเชื่อมโยงการรับความรู้สึกจากประสาทส่วนปลายไปยังประสาทส่วนกลางและถ่ายทอดคำสั่งมายังองคชาติ
  4. ระบบประสาทส่วนกลางซึ่งประกอบด้วยสิ่งเร้าทั้งหลาย เช่น การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น รวมทั้งจิตนาการณ์และประสบการณ์ในอดีต
  5. สภาวะทางจิตใจ
สาเหตุ
  1. สำหรับสาเหตุทางกายที่พบได้แก่ ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคระบบหัวใจ และการไหลเวียนของเลือด และผู้ที่สูงอายุ
  2. เบาหวานถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อย และคนไข้ชายที่เป็นเบาหวานจำนวน มากมายก็ประสบปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ คนไข้เหล่านี้มักจะมีแนวโน้มในการเกิดปัญหานี้ในขณะอายุน้อยกว่าผู้ชายทั่วๆ ไปด้วย นอกจากนี้ ผู้ชายที่มีโรคเบาหวานจะมีโอกาสเกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศมากกว่า ผู้ชายทั่วไปถึง 4 เท่า
  3. การมีภาวะความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุหนึ่งของการที่หลอดเลือดเกิดการแข็ง และตีบตันได้ ทำให้โลหิตที่ไหลไปสู่องคชาติลดน้อยลง ทำ ให้เกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ ตามมา นอกจากนี้ยาหลายชนิดที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูง อาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศด้วย
  4. โรคหัวใจ และการมีไขมันคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดสูง โรคหัวใจ และการมีโคเลสเตอรอลสูงอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของโลหิตไปที่องคชาติ ทำ ให้เกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ ผู้ชายที่มีโรคหัวใจจะมีโอกาสเกิดภาวะปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศมากกว่า ผู้ช่วยทั่วไปถึง 2 เท่า
  5. โรคซึมเศร้า ร่วมกับภาวะความเครียด กังวล กลัวความล้มเหลว อาจ มีส่วนทำให้เกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ ในขณะเดียวกันผู้ชายที่มีปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศ เพราะสาเหตุทางกายภาพอาจรู้สึกซึมเศร้า เครียด และวิตกกังวล
  6. การผ่าตัดต่อมลูกหมาก อาจเป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศได้โดยไม่ตั้งใจ โดยการทำให้เส้นประสาท และหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณใกล้ๆ ต่อมลูกหมากเสียหายส่งผลต่อการแข็งตัวขององคชาติ
  7. โรคไต และโรคพิษสุราเรื้อรัง
ภาวะ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายนี้ อาจเกิดขึ้นได้เป็นช่วงสั้นๆ ในผู้ชายทุกคน ซึ่งอาจจะไม่มีอะไรผิดปกติ อาการจะหายไปได้เอง โดยไม่ต้องรับการรักษาแต่อย่างใด การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีสุขภาพจิตที่สมบูรณ์ ไม่มีปัญหาในชีวิตครอบครัว สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้ท่านไม่มีปัญหาเรื่องการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

***********iFLoWeRs************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น