- อาหารลดน้ำหนัก..

เพิ่มระบบเผาผลาญเพื่อลดอ้วน

โดย : Nutrition Therapy
ระบบเผาผลาญเป็นวิธีที่ร่างกายผลิตพลังงานจากอาหารมาใช้ในการทำงานของร่าง กาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนและเอ็นไซม์หลายชนิดในร่างกาย ระบบการเผาผลาญจะเป็นตัวกำหนดอัตราการเผาผลาญพลังงาน (metabolic rate)
ถ้าอัตราการเผาผลาญสูง ร่างกายจะเผาผลาญอาหารได้ดี แต่ถ้าอัตราการเผาผลาญต่ำจะทำให้เพิ่มน้ำหนักตัวได้เร็วหรือลดน้ำหนักได้ยาก แต่ละคนมีประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานแตกต่างกัน ซึ่งอัตราการเผาผลาญของร่างกายมาจากพลังงาน 3 ส่วนคือ
พลังงานพื้นฐานที่ใช้ในการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย พลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนไหวหรือออกแรง พลังงานที่ใช้ในการย่อยอาหาร

การปรับเปลี่ยนวิธีการบริโภคและการใช้พลังงานจึงมีผลต่อระบบการเผาผลาญของร่างกายได้
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆที่มีอิทธิพลต่อระบบเผาผลาญ ได้แก่ อายุ เพศ น้ำหนัก ส่วนสูง วิถีการดำเนินชีวิตและองค์ประกอบของร่างกาย (ปริมาณของมวลกล้ามเนื้อ) โดยธรรมชาติระบบการเผาผลาญของคนเราจะลดลงประมาณ 5% ทุกๆ 10 ปี โดยเริ่มหลังจากอายุ 40 ปี ขณะอยู่เฉยๆไม่ได้ทำอะไร เพศชายจะเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าเพศหญิง คนที่มีกล้ามเนื้อมากก็จะมีระบบการเผาผลาญสูงกว่าคนที่มีไขมันมาก เพราะเซลล์กล้ามเนื้อเป็นเซลล์ขยันใช้พลังงานได้ดีกว่าเซลล์ไขมันซึ่งเปรียบ ได้กับเซลล์ขี้เกียจ และท้ายที่สุดสิ่งที่ถูกกำหนดมาให้แต่ละคนตั้งแต่เกิดคือพันธุกรรม ซึ่งถูกโปรแกรมมาแล้วทำให้คนเรามีระบบเผาผลาญแตกต่างกันไป นอกจากนี้ โรคบางชนิด เช่น ไทรอยด์(ทำงานน้อย)ก็ทำให้ระบบการเผาผลาญช้าลงได้
ทำไมน้ำหนักทรงตัวหลังลดความอ้วน
ผู้เชี่ยวชาญอธิบายเรื่องนี้ว่า ขณะที่เราอ้วน ระบบการเผาผลาญยังสูงอยู่ ฉะนั้นเมื่อลดแคลอรีจากอาหารลงมาแม้เพียงเล็กน้อย จึงทำให้น้ำหนักตัวลดลง และหลังจากที่สูญเสียเซลล์ไขมันและเซลล์กล้ามเนื้อไปพร้อมกับการสูญเสียน้ำ ในระยะแรก ระบบเผาผลาญจะลดต่ำลง ร่างกายจึงต้องการพลังงานในการทำงานน้อยลง

ทุกๆ 1/2 กิโลของเซลล์กล้ามเนื้อที่ลดลง จะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานลดลงประมาณ 9 แคลอรี นี่เองเป็นเหตุผลว่า คนที่ลดน้ำหนักจึงอ้วนขึ้นได้ง่ายในเวลาต่อมาถ้าไม่ควบคุมต่อเนื่อง นอกจากนี้ พลังงานที่ร่างกายต้องการจากอาหารก็จะลดน้อยลงไปอีก นั่นหมายถึงว่าปริมาณอาหารที่รับประทานจะต้องน้อยลงตามไปด้วย

ตัวอย่างเช่น นายแดงและนายดำมีน้ำหนักเท่ากันคือ 112 กิโลกรัม โดยที่น้ำหนักเดิมของนายแดงคือ 156 กิโลกรัม ส่วนนายดำหนัก 112 กิโลกรัมมาตลอด นายแดงผู้ลดน้ำหนักโดยการจำกัดอาหารจึงมีระบบเผาผลาญลดลง ทำให้ร่างกายต้องการพลังงานน้อยลงกว่านายดำทั้งๆที่มีน้ำหนักเท่ากัน

ดังนั้น การที่มีน้ำหนักเท่ากันจึงไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องการพลังงานเท่ากันเสมอ ไป หากผ่านการลดน้ำหนักมาก่อน จึงต้องควบคุมการกินอาหารให้น้อยลงไปให้ได้อย่างต่อเนื่อง

6 วิธีกิน เพิ่มระบบเผาผลาญ
1. กินบ่อยแต่แบ่งเป็นมื้อเล็กๆ การกินอาหารวันละ 4-6 มื้อ จะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญตลอดทั้งวันและลดน้ำหนักได้มากขึ้น คนที่ทิ้งช่วงการกินระหว่างมื้อต่อมื้อนานเกินไป ระบบเผาผลาญจะปรับตัวให้ทำงานช้าลงเพื่อชดเชยกับการไม่ได้กิน แต่ถ้ากินมื้อใหญ่เกินไป ระบบเผาผลาญจะทำงานเสมือนว่าคุณกำลังอดอยาก จึงสงวนแคลอรีทั้งหมดที่กินไว้เพื่อสะสมเป็นเสบียงยามขาดแคลน

2. ห้ามอดมื้อเช้า คนที่งดอาหารเช้าบ่อยๆจะอ้วนง่ายกว่าคนที่กินอาหารเช้าเป็นประจำ ร่างกายคนเราต้องการพลังงานและสารอาหารเพื่อจะทำงานได้ทั้ง 24 ชั่วโมง ดังนั้น การอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งจึงทำให้ร่างกายเข้าสู่ระบบสงวนพลังงาน โดยการลดอัตราการเผาผลาญลง และทำให้ร่างกายเก็บสะสมพลังงานอย่างเต็มที่ในรูปของไขมัน อาหารเช้าที่มีคุณภาพได้แก่ ข้าว(ซ้อมมือ)ต้มเครื่อง หรือขนมปังไข่ดาว

3.เพิ่มอาหารโปรตีน โดยปกติ อาหารจะช่วยเพิ่มระบบการเผาผลาญ หลังจากที่กินไปแล้ว 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงที่ทำงานได้ดีที่สุด แต่อาหารโปรตีนต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น 25% ในการย่อย ฉะนั้นอาหารว่างที่มีโปรตีนสูงจึงทำให้การเผาผลาญทำงานได้ดีกว่า(เล็ก น้อย)เมื่อเทียบกับอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตสูง(โดยที่มีแคลอรีเท่าๆ กัน) แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนที่สรุปว่าอาหารชนิดใดจะมีผลพิเศษในการเพิ่มระบบ เผาผลาญ

4.เติมเครื่องเทศรสเผ็ด มีงานวิจัยว่า พริกหรืออาหารรสจัดสามารถเพิ่มระบบเผาผลาญได้ 20% เป็นเวลาถึง 30 นาที งานวิจัยในสตรีชาวญี่ปุ่นรายงานว่า พริกสีแดงช่วยเพิ่มระบบเผาผลาญในร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อกินพริกแดงกับอาหารไขมันสูง นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยขนาดเล็ก พบว่านักกีฬาชายที่กินพริกแดงกับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง มีอัตราระบบเผาผลาญสูงขึ้นทั้งขณะที่มีกิจกรรมและไม่มีกิจกรรม หลังการกินอาหาร 30 นาที แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเพิ่มการทำงานได้นานแค่ไหน ผลดีของการกินพริกคือช่วยให้กินผักได้เพิ่มขึ้น แต่ผลการเพิ่มอัตราการเผาผลาญนั้นเพียงเล็กน้อย จึงต้องใช้ความพอดีในข้อนี้ให้มาก

5.ดื่มน้ำตลอดวัน น้ำเป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างหนึ่ง หากดื่มน้ำน้อยไประบบเผาผลาญจะลดลงเหมือนขาดอาหาร โดยตับจะเก็บน้ำไว้ แทนที่จะนำไปใช้ในหน้าที่อื่นๆ เช่น เผาผลาญไขมัน การดื่มน้ำเย็นๆจะช่วยเพิ่มระบบการเผาผลาญได้เล็กน้อยจากการที่ร่างกายต้อง รักษาระดับอุณหภูมิในร่างกาย ส่วนเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น ชาเขียว มีสารต้านอนุมูลอิสระ EGCG (epigallocatechin gallate) ที่มีฤทธิ์สูง หากดื่มขณะที่กินอาหาร จะช่วยเพิ่มระบบการเผาผลาญ 24 ชั่วโมงได้ 4 % (คาเฟอีนเพียงอย่างเดียวไม่แสดงผลนี้) แม้ชาเขียวจะกระตุ้นระบบเผาผลาญได้ดีกว่าและนานกว่ากาแฟ แต่การดื่มชาเขียวโดยไม่ควบคุมปริมาณอาหารที่กินตลอดทั้งวัน ก็ไม่อาจช่วยให้น้ำหนักลดลงได้

6.เลี่ยงน้ำตาลและของหวาน การกินของหวานมากๆ จะช่วยส่งเสริมให้ระบบเผาผลาญเก็บสะสมไขมันมากกว่าการเผาผลาญไขมันออกไปใช้ นอกจากนี้ น้ำตาลยังเป็นพลังงานส่วนเกินที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มได้ง่าย

ปัจจัยเสริมเร่งการเผาผลาญ
ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่เผาผลาญพลังงานในเวลาสั้นๆ และยกน้ำหนักที่จะสร้างกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มระบบเผาผลาญในระยะยาว ถ้าเรายิ่งสร้างกล้ามเนื้อมากเท่าไร อัตราการเผาผลาญ(ขณะที่อยู่เฉยๆ) ก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น เพราะเซลล์กล้ามเนื้อเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าเซลไขมัน
การออกกำลังกายแบบแอโรบิค 30 นาที อาจเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าการยกน้ำหนัก 30 นาที แต่การยกน้ำหนักกลับจะเพิ่มให้ระบบเผาผลาญทำงานได้นานกว่า ฉะนั้นกฏข้อหนึ่งของการลดน้ำหนักคือ การออกกำลังกายควบคู่กันไปกับการควบคุมอาหารจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อเพื่อ เพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกายให้มากขึ้น และคงน้ำหนักที่ลดลงได้

ผู้หญิงบางคนกลัวว่าการออกกำลังกายจะทำให้มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ดูแล้วไม่สวยงาม แต่ที่จริงผู้หญิงไม่มีฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (testosterone)มากพอที่จะทำให้กล้ามเนื้อใหญ่เหมือนผู้ชายได้ขนาดนั้น จึงไม่น่าเป็นข้ออ้างในการไม่ออกกำลังกาย

ความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อ้วนได้ โดยเฉพาะอ้วนลงพุง เพราะความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลมีผลให้ระบบเผาผลาญลดลง และที่สำคัญนอนให้เพียงพอ การวิจัยพบว่าผู้ที่นอนน้อยกว่าวันละ7-8 ชั่วโมงจะอ้วนได้ง่าย เนื่องจากร่างกายมีสภาวะเครียดเพิ่มขึ้น

*****iFLoWeRs******

10 วิธีช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน

โดย : Herbdd
การเพิ่ม metabolism ทำให้มีการเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายใช้พลังงานจากอาหารและอาหารเสริมที่คุณทานเข้าไปด้วย ทำให้คุณอยากดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้น และน้ำที่คุณดื่มยังช่วยขับพิษ การขับถ่ายและการย่อยอาหารในร่างกายอีกด้วย...

10 วิธีที่จะช่วยให้คุณเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานค่ะ...
1. เสริมสร้างกล้ามเนื้อ
"ยิ่ง คุณมีกล้ามเนื้อเรียบมาก ร่างกายคุณก็จะเผาผลาญพลังงานมาก" การยกดัมเบลล์อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่มเหมือนกันและช่วงที่ระดับเมตาบอลิซึ่มคุณพุ่งสุด ขี้ดนั้นน่ะ ไม่ใช่ตอนที่คุณวิ่งหอบแฮกๆบนสายพานหรอกนะคะ แต่หลังจากนั้นอีกสัก 2-3 ชั่วโมงค่ะ

2.ขยับตัว
อยาก เผาผลาญแคลอรี่ให้เร็วที่สุดก็ต้องออกกำลังกายอย่างน้อยออกเดิน30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง วิ่งเหยาะๆหรือเต้นแอโรบิกอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ไม่ว่าจะออกกำลังกายแบบไหนก็ช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่มทั้งนั้นล่ะ ให้หัวใจได้เต้นแรงเต็มที่ 120 ครั้งต่อนาที ให้ต่อเนื่องนานสัก 30-45 นาที

3.กิน
ยิ่งร่างกายคุณขาดสารอาหาร กล้ามเนื้อก็จะล้า การเผาผลาญก็จะน้อยลง ทางที่ดีกินเป็นมื้อเล็กๆ วันละ 3-4 มื้อ ยังดีกว่าอดอาหารไปเลย

4.งดน้ำตาล
เหตุผลง่ายๆก็คือน้ำตาลที่เหลือใช้แล้ว ร่างกายจะแปรสภาพเป็นไขมัน เพราะฉะนั้นลดน้ำตาล ก็จะช่วยลดไขมันไปในตัว

5.อย่าลืมกินอาหารเช้า
เป็น ความจริงที่ว่าคนที่กินอาหารเช้าที่มีประโยชน์ หุ่นดีกว่าคนที่อดข้าวเช้า และอาหารเช้ายังทำให้ระดับเมตาบอลิซึ่มของคุณวันนั้นพุ่งเป็น 2 เท่าด้วย

6.กินอาหารเผ็ดร้อน
เป็นคนไทยแสนจะโชคดี มีอาหารที่รสจัด มีทั้งพริกขี้หนูและพริกไทย

7.ดื่มชาเขียว
เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเร่งเมตาบอลิซึ่มได้ดีและปลอดภัยกว่ากาแฟ

8.ดื่มน้ำเยอะๆ
จะช่วยขับสารพิษหลังจากที่ร่างกายเผาผลาญพลังงานแล้ว น้ำเย็นๆยังช่วยกระตุ้นให้เมตาบอลิซึ่มกระเตื้องขึ้นอีกนิดหนึ่งด้วยนะ

9.อย่าเครียด
ความเครียดทำให้เราอ้วนขึ้น เพราะฮอร์โมนคอร์ติโซนจะไปทำให้อัตราเมตาบอลิซึ่มช้าลง

10.นอนหลับ
ความลับที่เพิ่งจะค้นพบก็คือ กล้ามเนื้อเรียบในร่างกายเราจะทำงานเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีที่สุดในชั่วโมงหลังๆที่เราหลับสนิทเต็มที่ค่ะ


*****iFLoWeRs******


กินเพื่อเพิ่มระบบการเผาผลาญ

โดย : Slimming
ผู้หญิงกลัวเหมือน กันหมด คือกลัวไม่สวย หุ่นไม่เฟิร์มกระชับ คนเราพออายุมากขึ้น ระบบการเผาผลาญลดลง ผิวพรรณก็เริ่มหย่อนคล้อยไม่เปล่งปลั่ง ดังนั้นคุณสาวๆ ควรจะหันมาดูแลตัวเอง....และวันนี้เราก็นำเอา 6 เคล็ดลับการกินเพื่อเพิ่มระบบการเผาผลาญมาฝาก

1.กินบ่อยๆ แต่แบ่งเป็นมื้อเล็กๆ 
โดยปกติทั่วไป เราจะกินอาหารวันละ 3 มื้อ
แต่ถ้าไม่ปกติคือ บางคนกินวันละ 2 มื้อ และบางคนก็จะกินมากกว่า 3 มื้อ
จะกินอย่างไรก็ตาม และแบบไหนก็ได้ ถ้ากินมากกว่าที่ใช้ออกมาก็จะทำให้เราอ้วน
แต่ก็มีเทคนิคกินบ่อยๆ แต่ต้องแบ่งเป็นมื้อเล็กๆ สำหรับท่านที่ต้องการคุมน้ำหนัก
เพราะการกินอาหารหลายๆ มื้อ ในปริมาณที่พอเหมาะจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้น
ระบบเผาผลาญได้ตลอดวัน และจะลดน้ำหนักตัวได้มากขึ้น สำหรับท่านที่
ทิ้งระยะการเวลาการกินระหว่างมื้อนานเกินไป จะมีผลต่อระบบเผาผลาญ
โดยระบบเผาผลาญจะทำงานช้าลงเพื่อเป็นการชดเชยกับการที่เราไม่ได้กินอาหาร
และถ้าเรากินอาหารมื้อใหญ่เกินไป ก็จะมีผลต่อระบบเผาผลาญเช่นกัน
โดยระบบเผาผลาญก็จะทำงานเหมือนคุณกำลังอดอาหารมานาน จึงเก็บพลังงานทั้งหมด
ไว้เพื่อสะสมเป็นเสบียงในยามที่ร่างกายขาดแคลน

2.ห้ามงดอาหารเช้า
โดยปกติแล้ว เราก็ทราบกันดีว่า อาหารมื้อเช้าเป็นอาหารมื้อสำคัญหลังจากที่เรา
รับประมานอาหารมื้อเย็นลงไปแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมา ระดับน้ำตาลกลูโคสในร่างกาย
ก็ลดลง การที่เราได้รับประทานอาหารมื้อเช้าจะทำให้เรามีประสิทธิภาพในการทำงาน
ดีขึ้น นอกจากนี้ การกินอาหารมื้อเช้า ยังมีส่วนเพิ่มระบบเผาผลาญ
โดยคนที่อดอาหารเช้าบ่อยๆ จะอ้วนง่ายกว่า คนที่กินอาหารเช้าประจำ
เพราะ ร่างกายของคนเราต้องการพลังงานเพื่อจะทำงานได้ตลอดทั้งวัน
ดังนั้น ถ้าเรางดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งไป ก็จะมีผลทำให้ร่างกายเช้าสู่การ
สงวนพลังงานโดยการลดอัตตราการเผาผลาญลง ทำให้ร่างกายเก็บสะสม
พลังงานในรูปแบบไขมัน

3.การเพิ่มอาหารโปรตีน
โปรตีนเป็นสารอาหารที่อยู่ในอาหารประเภท เนื้อสัตว์ต่างๆ ได้แก่เนื้อหมู
เนื้อวัว เนื้อปลา ไข่ นม และถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญ
สำหรับคนทุกวัยโดยในวัยเด็กก็จะช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโต
และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายในผู้ใหญ่ ตามปกติแล้ว อาหาร
จะช่วยเพิ่มระบบการเผาผลาญหลังจากที่กินอาหารไปแล้ว 1 ชั่วโมง
ซึ่งเป็นช่วงที่ทำงานได้ดีที่สุด แต่ถ้าเป็นสารอาหารโปรตีนต้องการพลังงานเพิ่ม
ขึ้น 25% ในการย่อย ดังนั้น อาหารประเภทโปรตีนจะทำให้การเผาผลาญ
ทำงานได้ดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารประเภท คาโบไฮเดรต

4.การเติมเครื่องเทศรสเผ็ด
หลายท่านคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่าพริก หรืออาหารรสจัดสามารถช่วย
ในการลดน้ำหนักได้ เนื่องจากพริกหรืออาหารรสจัดสามารถเพิ่มระบบการ
เผาผลาญได้ ร้อยละ 20 เป็นเวลาถึง 20 นาที แต่อาหารประเภทรสจัด
บางครั้งทำให้เรารับประทานอาหารได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

5.ดื่มน้ำตลอดวัน
น้ำจัดเป็นสารอาหารชนิดหนึ่งซึ่งหลายท่านอาจจะลืมไป โดยน้ำเป็นสารช่วย
ในการทำงานของกระบวนการต่างๆ ของร่างกาย เราควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว
ถ้าเราดื่มน้ำเย็นๆ จะช่วยในการเพิ่มระบบเผาผลาญได้เล็กน้อย เพราะร่างกาย
ต้องการรักษาระดับอุณหภูมิของร่างกายนั่นเอง

6.หลีกเลี่ยงการกินน้ำตาลและของหวาน
โดยปกติแล้วในการควบคุมหรือลดน้ำหนักนั้นต้องมีการควบคุมน้ำตาลและ
ของหวานต่างๆ ซึ่งเราต้องระมัดระวังอยู่แล้ว ของหวานมากๆ ช่วยส่งเสริม
ให้ระบบเผาผลาญเก็บสะสมไขมันมากกว่าการเผาผลาญ

จะเห็นได้ว่าวิธีการกินเพื่อเพิ่มระบบเผาผลาญที่กล่าวมานั้น คงต้องนำมาใช้อย่างระมัดระวัง
โดยเฉพาะเรื่องของปริมาณอาหาร การลดน้ำหนัก
หรือควบคุมน้ำหนักให้ได้ผลนั้น เราต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้วยนะคะ...


*****iFLoWeRs******

10 ประการ เพื่อเร่งการเผาผลาญอาหาร...
โดย : ซูแซน วูดเวอร์ด
ไม่ว่าเราจะ พยายามหาวิธีลดน้ำหนัก หรือปรับตัวให้พร้อมรับมือ กับการทำงานของระบบการเผาผลาญที่ช้าลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น แต่วิธีที่ได้ผลแน่นอนในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบนี้ และช่วยให้มีร่างกายสมส่วน
1.พยายามสร้างมวลกล้ามเนื้อ
ดังเช่นที่กล่าวไว้แล้วเมื่อตอนต้น ว่าระบบการเผาผลาญจะทำงานช้าลงเมื่อเราอายุมากขึ้น ประมาณว่ามันจะทำงานช้าลงปีละ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีบางสิ่งที่คุณทำได้เพื่อต่อสู้กับธรรมชาติ ชารี ลีเบอร์แมน ผู้เขียนหนังสือชื่อ Dare to Lose ให้ความเห็นว่า "กล้ามเนื้อนี่แหละคือตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุดถึงระบบเผาผลาญพลังงานจากอาหาร ที่คุณกินเข้าไป ชี้ให้เห็นด้วยว่าคุณเผาแคลอรี่และเผาไขมันไปได้มากน้อยแค่ไหน" เธอยังแนะนำด้วยว่าถ้าคุณต้องการจะเร่งกระบวนการเผาผลาญให้ทำงานดีขึ้น อย่างน้อยก็ควรจะยกดัมบ์เบลหรือดึงแถบยางต้านแรงอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง เพียงเท่านี้มันก็ช่วยได้มากเลยในการเร่งกระบวนการเผาผลาญ และข่าวดีก็คือระบบเผาผลาญของคุณที่ดีขึ้นนี้ จะยังคงทำงานหนักไปได้อีกหลายชั่วโมงทีเดียว ภายหลังจากออกกำลังมาแล้ว

2.เคลื่อนไหวอยู่เสมอ
ถ้าบอกว่าต้องเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ใครๆก็รู้ แต่ก็ต้องย้ำกันไว้สักหน่อยล่ะว่าคุณควรจะเคลื่อนไหวแบบไม่ธรรมดา ด้วยการหาเวลาให้ได้สัก 30 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง เพื่อมาเดินเร็วๆ, วิ่งจ็อกกิ้ง, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำหรือออกกำลังกายแบบแอโรบิกบางอย่าง ให้ได้ความถี่อาทิตย์ละ 3 ถึง 4 ครั้ง เรื่องนี้ลีเบอร์แมนคนเดิมบอกว่า "ใครๆต่างก็ไม่ชอบทำแบบนี้ทั้งนั้นแหละ แต่มันก็จำเป็นต้องทำค่ะ"

3.กินเป็นปกติ อย่าได้อดอาหารเป็นอันขาด
ลดน้ำหนักได้แต่อย่าอดอาหาร ฟังดูอาจจะเพี้ยน ๆ หน่อยสำหรับใครก็ตามที่พยายามลดน้ำหนักด้วยการกินให้น้อยๆเข้าไว้ แต่ความคิดแบบเก่า ๆ นี้กลับเป็นปัญหา ตรงที่ว่ามันกลับไปทำให้กระบวนการเผาผลาญทำงานได้ช้าลง ตามคำอธิบายของจูลี เบเยอร์ นักโภชนาการจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนซึ่งกล่าวว่า"ทุกๆเซลในร่างกายเราก็ไม่ ต่างอะไรจากหลอดไฟ เมื่อเรากินอาหารไม่เพียงพอ หรือเปรียบกับได้รับเชื้อเพลิงน้อย เซลหรือไส้หลอดก็จะไม่เผาไหม้สว่างไสว ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่า การรับประทานอาหารมื้อเล็กๆห่างกัน สามถึงสี่ชั่วโมงต่อมื้อ ก็จะช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี และช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ด้วย

4.ละเว้นน้ำตาล
แน่ล่ะ แม้จะไม่มีน้ำตาล คุณก็ยังเลือกกินอาหารอร่อยๆได้ "เพราะเมื่อใดที่คุณกินน้ำตาลเข้าไป นั่นคือระบบการเผาผลาญจะถูกเปลี่ยนไปเป็นระบบเก็บกักไขมันอย่างรวดเร็ว" ตามที่ลีเบอร์แมนพูด ในเมื่อเธอเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องการบริโภคอาหารน้ำตาลต่ำ ด้วยหลักความคิดว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปตามปกตินี้ แม้ไม่มีน้ำตาล มันก็แตกตัวออกเพื่อช่วยรักษาระดับนำตาลในเลือดอยู่แล้ว

5.ไม่อดอาหารเช้า
เป็นความจริงที่ไม่ค่อยจะมีใครคำนึงถึงเท่าไหร่เลยว่า คนที่กินอาหารเช้าที่ถูกสุขลักษณะเป็นประจำมักจะสะโอดสะองกว่าพวกที่ไม่กิน ลองคิดแบบนอกกะลากันดูหน่อยเป็นไร ถ้าหากคุณจะกินอาหารเช้าที่เป็นสลัดผักหรือว่าข้าวซ้อมมือ อาหารแบบนี้แหละที่จะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญได้ดีนัก ทั้งยังมีเส้นใยอาหารมากกว่าอาหารประเภทอื่นด้วย

6.กินเผ็ดเข้าไว้
คงไม่ต้องถึงกับควันออกหู แต่ถ้าคุณชอบอาหารไทยอยู่แล้วก็ย่อมถือว่าเดินมาถูกทาง แม้แต่ลีเบอร์แมนเองก็ยังพูดเลยว่า"อาหารเผ็ดๆนี่แหละ ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญดีนัก" ไม่เชื่อก็ลองสังเกตดูเถอะว่าใครบ้างในวงข้าวของคุณ ที่กินเผ็ดแล้วเหงื่อแตกพลั่กๆ นั่นแหละกระบวนการเผาผลาญของเขากำลังทำงานอย่างหนักอยู่

7.ดื่มชาเขียว
มิแชลล์ สเตรฟ ผู้ฝึกซ้อมกีฬาจากเนบราสกาให้ความเห็นว่า"มีวิธีค่อนข้างทำลายสุขภาพตั้ง หลายอย่างที่จะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญ อย่างการดื่มกาแฟแก่ๆสักแก้ว หรือการรับนิโคตินเข้าร่างกาย แต่ดิฉันไม่ได้บอกว่าคุณต้องสูบบุหรี่นะ" แต่ลีเบอร์แมนเองก็ให้คำแนะนำที่น่าสนใจในเรื่องนี้เช่นกันว่า แทนที่จะดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนมากๆแล้วต้องพบกับผลข้างเคียงค่อนข้าง อันตราย ก็น่าจะใช้ชาเขียวร้อนแทน ซึ่งชาเขียวที่ว่านี้จะกระตุ้นระบบเผาผลาญได้นานกว่าและมีประสิทธิภาพ มากกว่ากาแฟเสียอีก

8.อย่าลืมดื่มน้ำ
อย่าได้ละเลยการดื่มน้ำเป็นอันขาด การดื่มน้ำอยู่เป็นประจำนี้สำคัญมากกับการขับของเสียออกจากร่างกายในระหว่าง การเผาผลาญไขมัน แม้น้ำเย็นก็ยังช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้เล็กน้อย เนื่องจากร่างกายจะใช้ความร้อนมาเพื่อทำให้อบอุ่นขึ้น แล้วมันจะมาจากไหนล่ะถ้าไม่ใช่ระบบการเผาผลาญแล้วได้ความร้อนเป็นผลพลอยได้

9.หลีกเลี่ยงความเครียด
จงอยู่ให้ห่างความเครียดให้มากที่สุด ตามที่ลีเบอร์แมนพูดคือ"เพราะความเครียดสามารถเพิ่มน้ำหนักให้คุณได้ โดยเฉพาะไขมันตรงหน้าท้อง" ทำไมคุณลีเบอร์แมนถึงพูดเช่นนั้น ก็เพราะทั้งความเครียดทางกายและจิตใจมันจะไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารคอร์ ติโซลออกมาน่ะสิ และเพราะเจ้าคอร์ติโซลนี่มันมีอำนาจชลอกระบวนการเผาผลาญให้ช้าลงด้วย เราจึงควรทำทุกอย่างเพื่อให้ไม่เครียดหรือเครียดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

10.นอนหลับมาก ๆ
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำวิจัยมาแล้วหลายครั้งในหมู่ผู้นอนหลับ พบว่าใครก็ตามที่นอนน้อยกว่าวันละเจ็ดหรือแปดชั่วโมงจะมีโอกาสน้ำหนักขึ้น ได้มาก ยิ่งกว่านั้นเราก็รู้ด้วยว่ากล้ามเนื้อจะถูกเสริมสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยในช่วง ชั่วโมงท้ายของการนอนก่อนจะตื่น ตามคำกล่าวอ้างของเบเยอร์ ถ้าจะทำตามข้อแนะนำข้อที่ 1 ไปพร้อมๆกับข้อนี้ด้วย ก็จะช่วยได้มากในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

*****iFLoWeRs******

สารให้ความหวานในอาหาร
โดย : นิตยสาร - HealthToday
ความ หวานช่วยให้อาหารและเครื่องดื่ม มีรสชาติอร่อยน่ารับประทานมากขึ้น และก็มีคนไม่น้อยที่ชอบอาหารรสชาติหวานๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาวหรือขนมหวาน...
จริงๆ แล้วสารให้ความหวานมีอยู่ในอาหารธรรมชาติ เช่น ในผัก ผลไม้ ดังนั้น ถ้าคุณรับประทานผักผลไม้ร่างกาย ก็จะได้รับสารให้ความหวานเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว

ในทางการแพทย์สารให้ความหวานแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ สารให้ความหวานที่มีคุณค่าทางโภชนาการ (nutritive sweetener) และสารให้ความหวานที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ (nonnutritive sweetener)

สารให้ความหวานที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ที่รู้จักกันดีและใช้กันทั่วไป ได้แก่ น้ำตาล (sugar) ถ้าใช้คำว่า sugar หมายถึง น้ำตาลซูโครส ถ้า sugars หมายถึงน้ำตาลอื่นๆ ร่วมด้วย ซึ่งมีหลายชนิด เช่น ซูโครส กลูโคส ฟรุคโตส และมอลโตส เป็นต้น น้ำตาลซูโครสคือน้ำตาลทรายที่ใช้ปรุงอาหาร ฟรุคโตสพบในผัก ผลไม้ มอลโตสมีมากในน้ำนม ซึ่งน้ำผึ้ง น้ำผลไม้ น้ำเชื่อม น้ำอ้อย ก็จัดเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาว่าปราศจากน้ำตาลส่วนใหญ่ จะหมายถึงไม่มีน้ำตาลซูโครส แต่อาจจะมีน้ำตาลชนิดอื่นๆ น้ำตาลจัดเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทุกชนิดจะถูกแปลงเป็นน้ำตาลกลูโคส เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานของสมองและระบบต่างๆ ของร่างกาย

น้ำตาลยังเป็นตัวการสำคัญของโรคและมีผลกระทบกับสุขภาพร่างกายหลายด้านอีก ด้วย เช่น ทำให้ฟันผุ เนื่องจากเมื่อเรารับประทานอาหารที่มีน้ำตาลเข้าไปเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก จะทำการย่อยสลายน้ำตาลในปากไปเป็นกรด ซึ่งสามารถทำลายสารเคลือบฟันของเราจนทำให้ฟันผุ นอกจากนี้ยังควรทำความเข้าใจด้วยว่า การรับประทานน้ำตาลในปริมาณมากไม่ได้เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะพฤติกรรมการ ไม่อยู่เฉย (hyperactive) ในเด็ก รวมทั้งไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคเบาหวานโดยตรงในผู้ที่ไม่มีความเสี่ยง แต่ในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานอยู่แล้วควรหลีกเลี่ยงอาหารหวานหรือขนมหวาน เนื่องจากจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นเบา หวาน เช่น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน ผู้ที่เป็นโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ การรับประทานน้ำตาลปริมาณมากก็สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวานขึ้นได้

นอกจากนี้คุณอาจจะเคยเห็นผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมีการ โฆษณาว่าปราศจากน้ำตาล แท้จริงแล้วปราศจากน้ำตาลซูโครส แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ฟรุคโตสแทน เนื่องจากการรับประทานน้ำตาลฟรุคโตส มีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นน้อยกว่าการรับประทานแป้งและซูโครส ดังนั้นจึงนำมาเป็นส่วนผสมในอาหารขนม เช่น ลูกกวาด แยม เครื่องดื่มสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

แต่อย่างไรก็ตามถ้ารับประทานน้ำตาลต่างๆ มากกว่าร้อยละ 20 ของพลังงานจะมีผลเพิ่มระดับไขมันโคเลสเตอรอลรวม และโคเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ซึ่งถ้าโคเลสเตอรอลรวมและโคเลสเตอรอล LDL สูงก็จะยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดมากขึ้น

ในส่วนของผู้ที่ต้องการลดหรือควบคุมน้ำหนักก็ไม่ควรรับประทานน้ำตาลในปริมาณ มาก เพราะจะทำให้ได้พลังงานมาก น้ำตาลให้พลังงาน 4 แคลอรี/กรัม หรือน้ำตาล 1 ช้อนชา ให้พลังงาน 16 กิโลแคลอรี ถ้าร่างกายได้รับพลังงานมากเกิน ก็จะสะสมในรูปไขมันและเกิดโรคอ้วนในที่สุด ผลตามมาจากความอ้วนมีมากมาย เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงอาจก่อให้เกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตันโรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ข้อเสื่อม นิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งเต้านมในเพศหญิง มะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชาย การทำงานของปอดลดลง เนื่องจากชั้นไขมันหนารอบทรวงอกทำให้การขยายตัวของปอดทำได้ไม่ดีนัก และไขมันที่หนาบริเวณท้องก็ทำให้กระบังลมยืดหยุ่นตัวได้ไม่ดี ดังนั้นจึงสังเกตว่าในคนที่อ้วนมากจะมีอาการหายใจลำบาก หรือมีการหยุดหายใจเป็นระยะๆ ในขณะนอนหลับเรียกว่า sleep apnea ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดศีรษะในเวลาเช้า ง่วงนอน หายใจช้าในเวลากลางวัน เป็นต้น

สำหรับ สารให้ความหวานที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ (nonnutritive sweetener) ที่ใช้กันทั่วไปเป็นสารให้ความหวานที่องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐ อเมริการับรองว่าปลอดภัย ได้แก่ Saccharine (sweet' N low) มีความหวาน 300 เท่าของน้ำตาล Aspartam (Nutrasweet, Equal) มีความหวาน 180 เท่า Acesulfame potassium นิยมใส่ในเครื่องดื่ม soft drink ความหวาน 200 เท่า sucralose ความหวาน 600 เท่าของน้ำตาล สารเหล่านี้มีค่าที่กำหนดปริมาณที่ใช้ผสมในอาหารที่คนสามารถรับประทานได้ อย่างปลอดภัยต่อวัน (Acceptable Daily Intake, ADI) แต่ก็มีการงานวิจัยบางชิ้นอ้างว่าน้ำตาลประเภทนี้บางชนิดก็เป็นสาเหตุให้ เกิดโรคมะเร็งได้เช่นกัน

ในทางปฏิบัติการเลือกรับประทานอาหารให้หลากหลาย ร่างกายจะได้ทั้งน้ำตาล และสารอาหารครบเนื่องจากในผัก ผลไม้ มีทั้งน้ำตาล และคุณค่าสารอาหารอย่างอื่นด้วย ถ้าคุณไม่ต้องการเพิ่มน้ำหนัก และห่างไกลจากความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานของหวานๆ เครื่องดื่มรสหวาน และอาหารที่มีน้ำตาลมากก็จะดีไม่น้อยทีเดียว

*****iFLoWeRs******

เพิ่มระบบการเผาผลาญลดอ้วน..!
โดย : อินเตอร์เน็ต
ระบบเผาผลาญ เป็นวิธีที่ร่างกายผลิตพลังงานจากอาหารมาใช้ในการทำงานของร่างกาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนและเอ็นไซม์หลายชนิดในร่างกาย ...
ระบบการเผาผลาญจะเป็นตัวกำหนดอัตราการเผาผลาญพลังงาน (metabolic rate)ซึ่งถ้าอัตราการเผาผลาญสูง ร่างกายจะเผาผลาญอาหารได้ดี แต่ถ้าอัตราการเผาผลาญต่ำจะทำให้เพิ่มน้ำหนักตัวได้เร็วหรือลดน้ำหนักได้ยาก แต่ละคนมีประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานแตกต่างกัน

อัตราการเผาผลาญของร่างกายมาจากพลังงาน 3 ส่วนคือ

1. พลังงานพื้นฐานที่ใช้ในการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย
2. พลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนไหวหรือออกแรง
3. พลังงานที่ใช้ในการย่อยอาหาร
การปรับเปลี่ยนวิธีการบริโภคและการใช้พลังงานจึงมีผลต่อระบบการเผาผลาญของร่างกายได้

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆที่มีอิทธิพลต่อระบบเผาผลาญ ได้แก่ อายุ เพศ น้ำหนัก ส่วนสูง วิถีการดำเนินชีวิตและองค์ประกอบของร่างกาย (ปริมาณของมวลกล้ามเนื้อ) โดยธรรมชาติระบบการเผาผลาญของคนเราจะลดลงประมาณ 5% ทุกๆ 10 ปี โดยเริ่มหลังจากอายุ 40 ปี ขณะอยู่เฉยๆไม่ได้ทำอะไร เพศชายจะเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าเพศหญิง คนที่มีกล้ามเนื้อมากก็จะมีระบบการเผาผลาญสูงกว่าคนที่มีไขมันมาก เพราะเซลล์กล้ามเนื้อเป็นเซลล์ขยันใช้พลังงานได้ดีกว่าเซลล์ไขมันซึ่งเปรียบ ได้กับเซลล์ขี้เกียจ และท้ายที่สุดสิ่งที่ถูกกำหนดมาให้แต่ละคนตั้งแต่เกิดคือพันธุกรรม ซึ่งถูกโปรแกรมมาแล้วทำให้คนเรามีระบบเผาผลาญแตกต่างกันไป นอกจากนี้ โรคบางชนิด เช่น ไทรอยด์(ทำงานน้อย)ก็ทำให้ระบบการเผาผลาญช้าลงได้

ทำไมน้ำหนักทรงตัวหลังลดความอ้วน
ผู้เชี่ยวชาญอธิบายเรื่องนี้ว่า ขณะที่เราอ้วน ระบบการเผาผลาญยังสูงอยู่ ฉะนั้นเมื่อลดแคลอรีจากอาหารลงมาแม้เพียงเล็กน้อย จึงทำให้น้ำหนักตัวลดลง และหลังจากที่สูญเสียเซลล์ไขมันและเซลล์กล้ามเนื้อไปพร้อมกับการสูญเสียน้ำ ในระยะแรก ระบบเผาผลาญจะลดต่ำลง ร่างกายจึงต้องการพลังงานในการทำงานน้อยลง

ทุกๆ 1/2 กิโลของเซลล์กล้ามเนื้อที่ลดลง จะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานลดลงประมาณ 9 แคลอรี นี่เองเป็นเหตุผลว่า คนที่ลดน้ำหนักจึงอ้วนขึ้นได้ง่ายในเวลาต่อมาถ้าไม่ควบคุมต่อเนื่อง นอกจากนี้ พลังงานที่ร่างกายต้องการจากอาหารก็จะลดน้อยลงไปอีก นั่นหมายถึงว่าปริมาณอาหารที่รับประทานจะต้องน้อยลงตามไปด้วย

ตัวอย่างเช่น นายแดงและนายดำมีน้ำหนักเท่ากันคือ 112 กิโลกรัม โดยที่น้ำหนักเดิมของนายแดงคือ 156 กิโลกรัม ส่วนนายดำหนัก 112 กิโลกรัมมาตลอด นายแดงผู้ลดน้ำหนักโดยการจำกัดอาหารจึงมีระบบเผาผลาญลดลง ทำให้ร่างกายต้องการพลังงานน้อยลงกว่านายดำทั้งๆที่มีน้ำหนักเท่ากัน

ดังนั้น การที่มีน้ำหนักเท่ากันจึงไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องการพลังงานเท่ากันเสมอ ไป หากผ่านการลดน้ำหนักมาก่อน จึงต้องควบคุมการกินอาหารให้น้อยลงไปให้ได้อย่างต่อเนื่อง

6 วิธีกิน เพิ่มระบบเผาผลาญ
1 กินบ่อยแต่แบ่งเป็นมื้อเล็กๆ การกินอาหารวันละ 4-6 มื้อ จะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญตลอดทั้งวันและลดน้ำหนักได้มากขึ้น คนที่ทิ้งช่วงการกินระหว่างมื้อต่อมื้อนานเกินไป ระบบเผาผลาญจะปรับตัวให้ทำงานช้าลงเพื่อชดเชยกับการไม่ได้กิน แต่ถ้ากินมื้อใหญ่เกินไป ระบบเผาผลาญจะทำงานเสมือนว่าคุณกำลังอดอยาก จึงสงวนแคลอรีทั้งหมดที่กินไว้เพื่อสะสมเป็นเสบียงยามขาดแคลน

2 ห้ามอดมื้อเช้า คนที่งดอาหารเช้าบ่อยๆจะอ้วนง่ายกว่าคนที่กินอาหารเช้าเป็นประจำ ร่างกายคนเราต้องการพลังงานและสารอาหารเพื่อจะทำงานได้ทั้ง 24 ชั่วโมง ดังนั้น การอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งจึงทำให้ร่างกายเข้าสู่ระบบสงวนพลังงาน โดยการลดอัตราการเผาผลาญลง และทำให้ร่างกายเก็บสะสมพลังงานอย่างเต็มที่ในรูปของไขมัน อาหารเช้าที่มีคุณภาพได้แก่ ข้าว(ซ้อมมือ)ต้มเครื่อง หรือขนมปังไข่ดาว

3 เพิ่มอาหารโปรตีน โดยปกติ อาหารจะช่วยเพิ่มระบบการเผาผลาญ หลังจากที่กินไปแล้ว 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงที่ทำงานได้ดีที่สุด แต่อาหารโปรตีนต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น 25% ในการย่อย ฉะนั้นอาหารว่างที่มีโปรตีนสูงจึงทำให้การเผาผลาญทำงานได้ดีกว่า(เล็ก น้อย)เมื่อเทียบกับอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตสูง(โดยที่มีแคลอรีเท่าๆ กัน) แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนที่สรุปว่าอาหารชนิดใดจะมีผลพิเศษในการเพิ่มระบบ เผาผลาญ

4. เติมเครื่องเทศรสเผ็ด มีงานวิจัยว่า พริกหรืออาหารรสจัดสามารถเพิ่มระบบเผาผลาญได้ 20% เป็นเวลาถึง 30 นาที งานวิจัยในสตรีชาวญี่ปุ่นรายงานว่า พริกสีแดงช่วยเพิ่มระบบเผาผลาญในร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อกินพริกแดงกับอาหารไขมันสูง นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยขนาดเล็ก พบว่านักกีฬาชายที่กินพริกแดงกับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง มีอัตราระบบเผาผลาญสูงขึ้นทั้งขณะที่มีกิจกรรมและไม่มีกิจกรรม หลังการกินอาหาร 30 นาที แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเพิ่มการทำงานได้นานแค่ไหน ผลดีของการกินพริกคือช่วยให้กินผักได้เพิ่มขึ้น แต่ผลการเพิ่มอัตราการเผาผลาญนั้นเพียงเล็กน้อย จึงต้องใช้ความพอดีในข้อนี้ให้มาก

5. ดื่มน้ำตลอดวัน น้ำเป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างหนึ่ง หากดื่มน้ำน้อยไประบบเผาผลาญจะลดลงเหมือนขาดอาหาร โดยตับจะเก็บน้ำไว้ แทนที่จะนำไปใช้ในหน้าที่อื่นๆ เช่น เผาผลาญไขมัน การดื่มน้ำเย็นๆจะช่วยเพิ่มระบบการเผาผลาญได้เล็กน้อยจากการที่ร่างกายต้อง รักษาระดับอุณหภูมิในร่างกาย ส่วนเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น ชาเขียว มีสารต้านอนุมูลอิสระ EGCG (epigallocatechin gallate) ที่มีฤทธิ์สูง หากดื่มขณะที่กินอาหาร จะช่วยเพิ่มระบบการเผาผลาญ 24 ชั่วโมงได้ 4 % (คาเฟอีนเพียงอย่างเดียวไม่แสดงผลนี้) แม้ชาเขียวจะกระตุ้นระบบเผาผลาญได้ดีกว่าและนานกว่ากาแฟ แต่การดื่มชาเขียวโดยไม่ควบคุมปริมาณอาหารที่กินตลอดทั้งวัน ก็ไม่อาจช่วยให้น้ำหนักลดลงได้

6. เลี่ยงน้ำตาลและของหวาน การกินของหวานมากๆ จะช่วยส่งเสริมให้ระบบเผาผลาญเก็บสะสมไขมันมากกว่าการเผาผลาญไขมันออกไปใช้ นอกจากนี้ น้ำตาลยังเป็นพลังงานส่วนเกินที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มได้ง่าย

ปัจจัยเสริมเร่งการเผาผลาญ
ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่เผาผลาญพลังงานในเวลาสั้นๆ และยกน้ำหนักที่จะสร้างกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มระบบเผาผลาญในระยะยาว ถ้าเรายิ่งสร้างกล้ามเนื้อมากเท่าไร อัตราการเผาผลาญ(ขณะที่อยู่เฉยๆ) ก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น เพราะเซลล์กล้ามเนื้อเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าเซลไขมัน

การออกกำลังกายแบบแอโรบิค 30 นาที อาจเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าการยกน้ำหนัก 30 นาที แต่การยกน้ำหนักกลับจะเพิ่มให้ระบบเผาผลาญทำงานได้นานกว่า ฉะนั้นกฏข้อหนึ่งของการลดน้ำหนักคือ การออกกำลังกายควบคู่กันไปกับการควบคุมอาหารจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อเพื่อ เพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกายให้มากขึ้น และคงน้ำหนักที่ลดลงได้

ผู้หญิงบางคนกลัวว่าการออกกำลังกายจะทำให้มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ดูแล้วไม่สวยงาม แต่ที่จริงผู้หญิงไม่มีฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (testosterone)มากพอที่จะทำให้กล้ามเนื้อใหญ่เหมือนผู้ชายได้ขนาดนั้น จึงไม่น่าเป็นข้ออ้างในการไม่ออกกำลังกาย

ความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อ้วนได้ โดยเฉพาะอ้วนลงพุง เพราะความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลมีผลให้ระบบเผาผลาญลดลง และที่สำคัญนอนให้เพียงพอ การวิจัยพบว่าผู้ที่นอนน้อยกว่าวันละ7-8 ชั่วโมงจะอ้วนได้ง่าย เนื่องจากร่างกายมีสภาวะเครียดเพิ่มขึ้น


*****iFLoWeRs******

วิธีเผาผลาญเมื่อกินเกินพิกัด
โดย : ดีดีจัง Health
การอยากมี หุ่นสวย หลายคนจึงระมัดระวังการรับประทานอาหารเป็นพิเศษ แต่หากในคืนปาร์ตี้ที่เผลอทานเยอะจนเกินพิกัดก็ไม่ต้องกังวล มีวิธีเผาผลาญไขมันมาฝาก

การอยากมีหุ่นสวย หลายคนจึงระมัดระวังการรับประทานอาหารเป็นพิเศษ แต่หากในคืนปาร์ตี้ที่เผลอทานเยอะจนเกินพิกัดก็ไม่ต้องกังวล มีวิธีเผาผลาญไขมันมาฝาก ดื่มน้ำส้มคั้นสด มีวิตามินที่ช่วยดูดซึมสารอาหารที่สำคัญ หากรับประทานเป็นผล จะมีเส้นใยธรรมชาติ ช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง

 เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว ทานอาหารจำพวกธัญพืช (ชนิดไขมันต่ำ) อาจทานตอนเช้า (หากไม่มีเวลาทานข้าว) ธัญพืชเหล่านี้ อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ระบบจะย่อยช้า ๆ เข้าสู่ร่างกาย ทำให้รู้สึกอิ่มท้องนาน เคลื่อนไหวร่างกาย หลังเลิกงานอาจเรียกเหงื่อด้วยการเดินเล่น หรือวิ่ง หากมีเวลาอาจเล่นกีฬาที่ชอบสักครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง (การเคลื่อนไหวเร็ว ๆ จะเผาผลาญได้ 140 แคลอรีในครึ่งชั่วโมง) เคี้ยวอาหาร ช้า ๆ เพราะการทานเร็ว จะทำให้ทานมากเกินอัตราโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารหลัง 6 โมงเย็น หรือช่วงเวลากลางคืน ทานผัก-ผลไม้ เพราะผักจะให้พลังงานน้อย แต่ให้สารอาหารมาก ส่วนผลไม้ เลือกทานที่ให้พลังงานต่ำ เช่น ฝรั่ง มะม่วง ชมพู่ แตงโม แคนตาลูป เลี่ยงผลไม้หวานจัด ให้พลังงานสูง เคล็ดลับง่ายๆ ช่วยคุณ กำจัดไขมันส่วนเกินได้ หากปฏิบัติเป็นประจำ ก็ไม่ต้องกังวลมากนัก


*****iFLoWeRs******


30 วิธี เร่งเผาผลาญไขมัน
โดย : แบม
สำหรับผู้หญิงที่ไม่ค่อย มีเวลาหรือหาเวลาออกกำลังกายไม่ค่อยจะได้ เราเลยขอแนะนำ 30 วิธี เร่งเผาผลาญไขมัน ที่ดูแล้วน่าลองดูมากทีเดียวค่ะแถมไม่ยุ่งยากอีกต่างหาก ให้คุณได้สวยเพรียวไปกับกิจวัตรประจําวันของคุณ

30 วิธี เร่งเผาผลาญไขมัน ได้แก่

1. ตื่นขึ้นมายืดเส้นยืดสาย โน้มตัวลงใช้มือแตะสลับเท้ารวมทั้งจัดเตียงและพับผ้าปูที่นอนให้เข้าที่เข้า ทางและดูเรียบร้อยทุกวัน แค่ 20 นาที ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่สวย

2. ยืดเวลา "ยืน"
แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันให้นานขึ้น

3. จัดห้องด้วยตัวเอง
ถึงเวลาเสียทีสำหรับการตกแต่งห้องใหม่ เริ่มด้วยการย้ายรูปภาพ เลื่อนตำแหน่งโต๊ะ เก้าอี้ โซฟา โคมไฟ และอะไรก็ตามที่จะทำให้คุณเสียเหงื่อมากกว่าการนอนนิ่งอยู่บนโซฟา

4. ดูดฝุ่นด้วยตัวเอง เปลืองเวลาแค่ 20 นาทีครับ ทำตอนดึก ๆ หรือหลังกลับจากที่ทำงานก็ได้

5. ตัดใจและจัดการทิ้งข้าวของที่ไม่ใช้ เช่น กระดาษและแมกกาซีนกองโตที่ตั้งเรียงสูงเกือบถึงเพดาน

6. รักษาโลกสีเขียวของทุกคน ด้วยการแยกขยะออกเป็นประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระป๋อง แก้ว ขยะมีพิษ และขวดพลาสติก

7. เมิน "Car Care" หรือร้านล้างรถชั่วคราวแล้วหันมาล้างรถด้วยตัวเองที่บ้านของคุณ

8. ตกแต่งกิ่งก้าน ดึงวัชพืช รดน้ำต้นไม้ รวมถึงซ่อมรั้วที่คุณจด ๆ จ้อง ๆ จะซ่อมมานาน

9. ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัข อย่าลืมพามันออกวิ่งและเที่ยวใกล้ ๆ บ้าน ส่วนใครที่ไม่รักสัตว์คุณยังมีเครื่องเล่น MP3 และเพลงเพราะ ๆ จากหูฟังดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณวิ่งหรือเดินได้นานขึ้นกว่าเดิม

10. ใช้รถเข็นซื้อข้าวของในซูเปอร์มาร์เก็ต ถ้าไม่เคยทำเราอยากให้คุณลองซื้อของใช้เข้าบ้านสัปดาห์ละครั้ง ใช้เวลาเดินให้นานขึ้นลองดูครับเข็นแล้วเดินไปรอบ ๆ อย่างน้อย 20-30 นาที

11. จอดรถของคุณไว้ที่บ้าน แล้วเดินหรือใช้รถสาธารณะแทน

12. หนังสือที่ซื้อมาแล้วยังไม่ได้อ่าน แกะออกจากถุงดีกว่าครับใช้เวลานิดหน่อยจัดเรียงและถ้าชั้นวางของไม่พอก็วางแผนต่อชั้นวางใหม่ด้วยตัวเองเสียเลย

13. ถ้าเล่นดนตรีเป็น
ลอง เล่นดนตรีชิ้นโปรดโดยเฉพาะแซ็กโซโฟน เปียโน และกลอง แต่ถ้าไม่สะดวก ลองเปิดเพลงโปรดแล้วเต้นดูก็ได้ครับหรือจะโค้งเชิญคนรู้ใจที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ให้ลุกขึ้นมาขยับด้วยก็ได้...ไม่ว่ากัน

14. หลังจากกดปุ่ม "Start" พยายาม ปลีกตัวออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณ เดินไปไหนมาไหนในบ้านบ้างบางครั้ง คุณก็ควรปล่อยวางและใช้เวลา 25 นาทีก็เพียงพอแล้วสำหรับการเช็กอี-เมล์

15. อาสาล้างจานแทนสาว ๆ หลังจบงานปาร์ตี้ที่บ้านของเธอ

16. ลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้สุภาพสตรี

17. เดินทักทายเพื่อนร่วมงาน
หรือลูกน้องในแผนกในบางโอกาส

18. กินอาหารกลางวันนอกที่ทำงาน แทนการซื้อเข้ามาโดยไม่ได้ลุกออกไหนเลย

19. เดินดูสินค้า ในแผนกเครื่องเสียงหรือแผนกไอที

20. ถ้าคุณมีความสามารถในด้านการทำอาหาร หรืออย่างน้อยก็อุ่นอาหารใช้เวลาในการทำกิจกรรมนี้สักประมาณ 20 นาที

21. ในการขึ้น-ลงไม่กี่ชั้นในสำนักงาน คุณควรเลือกใช้บันไดแม้แต่ในบ้านก็ใช้บันไดในการออกกำลังกายได้ด้วยการเดินขึ้น-ลงเป็นเวลาประมาณ 5 นาที

22. ในงานเลี้ยง การนั่งอยู่ที่โต๊ะโดยไม่ลุกไปไหนนอกจากจะทำให้คุณเป็นคนไม่น่าสนใจแล้ว ไขมันของคานาเป้ แซนด์วิชแฮมชีสและเบียร์ที่คุณดื่มยังทำให้ไขมันสะสมในร่างกายได้ง่าย ทางที่ดีคุณควรลุกขึ้นมาขยับและเริ่มบทสนทนาเดินคุยกับผู้คนหน้าใหม่ ๆ หรือไม่ก็หันมาโชว์สเต็ปทันทีที่ได้ยินเพลงโปรดของตัวเอง

23. ถึงจะเป็นงานของผู้หญิง 
แต่คุณก็สามารถพับหรือรีดเสื้อผ้าที่คุณใช้อยู่เป็นประจำได้

24. ถ้าคุณเป็นคนชอบดูรายการโทรทัศน์
อย่าลืมลุกไปทำโน่นทำนี่ทุกครั้งที่มีโฆษณา

25. หาซื้ออุปกรณ์ง่าย ๆ อย่างดัมเบลล์ 
หรือเสื่อโยคะติดบ้านไว้ อาจรวมถึงเครื่องชั่งน้ำหนัก สำหรับคนที่ต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินอย่างจริงจัง

26. การบิด สะบัด 
และตากเสื้อผ้าเป็นวิธีการออกกำลังกายที่ดีแม้ว่าคุณจะซักด้วยเครื่องตามปกติ

27. เป็นสุภาพบุรุษเต็มตัว 
ด้วยการอาสาทำงานออกแรงที่สุภาพสตรีไม่ถนัด

28. เดาะบอลที่สนามหลังบ้าน  
หรือไม่ก็วิ่งบนลู่วิ่งเก่าเก็บที่ซื้อแล้วไม่ได้ใช้งาน

29. "ยืน" คุยโทรศัพท์กับเพื่อนเรื่องพรรคการเมือง "พรรคนั้น" เรื่องฟุตบอลแมตช์ที่ผ่านมา หรืออ่านบทความสำคัญใน Forbes ไปจนจบใช้เวลา 22 นาทีก็น่าจะลงตัว

30. และสำหรับข้อสุดท้ายที่หลายคนสนใจมีวิธีการง่ายๆ ต่อไปนี้  
คือ คุณสามารถงีบหลับไปได้ 45 นาที ซึ่งจะช่วยเผาผลาญได้ถึง 50 แคลอรี จากการสูดอากาศหายใจก็อย่างที่คุณรู้น่ะครับ แค่ขยับ..ก็เท่ากับออกกำลังกาย


*****iFLoWeRs******

พฤติกรรม เร่งการเผาผลาญไขมัน

โดย : นิตยสาร Lisa
วันนี้เราแนะนำ อีกหนึ่งวิธีเร่งการเผาผลาญไขมันได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นกับพฤติกรรมต่อไปนี้ ที่จะพาให้คุณ ๆ ที่อยากลดน้ำหนักหรือลดไขมันส่วนเกินได้อย่างรวดเร็วด้วยวิธีง่าย ๆ กับ เคล็ดลับ เร่งการเผาผลาญไขมัน อย่างได้ผลและไม่ยุ่งยากพาคุณ ๆ ให้ต้องเหน็ดเหนื่อยอีกต่างหาก...

เร่งการเผาผลาญไขมัน

พักหยุดระหว่างออกกำลังกาย
เวลาคุณออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ 2 ยก ให้หยุดพักระหว่างครั้งประมาณ 20 นาที การพักเหนื่อยจะช่วยให้ร่ายกายเผาผลาญไขมันได้มากกว่าการออกกำลังกายติดต่อกันเป็นระยะยาวนาน

ใช้น้ำมันมะกอกให้มากขึ้น
คนที่รับประทานอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูงอย่างน้ำมันมะกอกหรืออะโวคาโดจะเผาผลาญไขมันในช่วง 4 สัปดาห์ได้มากกว่าคนที่ทานอาหารไขมันอิ่มตัวสูง

ทานโยเกิร์ต
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยรัฐเทนซีพบว่า คนที่ทานโยเกิร์ตควบคู่ไปพร้อมกับการทานอาหารไปแต่ละมื้ออยู่เสมอสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่าร้อยละ 22 และลดไขมันในร่างกายได้มากกว่าร้อยละ 61 เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ทานโยเกิร์ต
เร่งการเผาผลาญไขมัน
ติดเพลงไปฟังด้วย
เสียงดนตรีสามารถช่วยลดน้ำหนักและไขมันในร่างกายได้มากกว่า สำหรับคนที่ออกกำลังกายพร้อม ๆ ฟังเพลง ฉะนั้นครั้งหน้าคุณก็อย่าลืมพก iPod ติดตัวไปออกกำลังกายด้วยล่ะ

รักเวตเทรนนิ่ง
ช่วยเพิ่มระดับการเผาผลาญประมาณร้อยละ 7 คุณจึงสามารถกำจัดพลังงานได้มากตลอดทั้งวัน จัดเวลาเล่นเวตสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ให้ได้ครั้งละประมาณ 30 นาที

**ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

*****iFLoWeRs******

ปีใหม่นี้ น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นกี่โล ??
โดย : ouichon
เทศกาลฉลองต่างๆ เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนบ้านและที่ทำงานเป็นสถานที่อันตรายสำหรับเพิ่มน้ำหนัก คุณคิดอย่างนั้นหรือเปล่า แล้วน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้มาได้อย่างไร เรามาดูกันค่ะ
งาน เลี้ยงฉลองในเทศกาลแห่งความสุข ที่เริ่มตั้งแต่เดือนนี้ยาวไปจนถึงมกราคมศกหน้า ล้วนแต่จะทำให้คุณมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างง่ายดาย การมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่า 2 กิโลกรัม (ประมาณ 5 ปอนด์) คุณต้องมีแคลอรี่เพิ่มขึ้นอีก 17,500 แคลอรี่ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันนับตั้งแต่ตอนนี้จนถึงช่วงเทศกาลฉลองปี ใหม่ในเดือนมกราคม แล้วน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้มาได้อย่างไร เรามาดูกันค่ะ

          ...ช่วงเทศกาล...ช่วงเวลาแห่งการเพิ่มน้ำหนัก!

          หาก เราย้อนเวลากลับไปในช่วงวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับเทศกาลฮัลโลวีนที่นิยมมอบลูกกวาดให้แก่กัน คุณรู้ไหมว่า ในโถ 1 ใบที่บรรจุลูกกวาดราว 250 เม็ดนั้น เมื่อคุณลิ้มลองลูกกวาดแต่ละเม็ดจะให้แคลอรี่ประมาณ 35 แคลอรี่และหากคุณมีอุปนิสัยเหมือนกับคนส่วนใหญ่ ที่ซื้อลูกกวาดมาเป็นจำนวนมากเกินความจำเป็นในการใช้งาน คุณก็มีภาระต้องรับประทานลูกกวาดให้หมดไป โดยอาจบริโภควันละ 2 เม็ดเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ซึ่งทำให้ร่างกายของคุณสะสมแคลอรี่สูงถึง 1,000 แคลอรี่ทีเดียว

          ถัดจากเทศกาลฮัลโลวีน คือ เทศกาลขอบคุณพระเจ้า ซึ่งมีการจัดเลี้ยงอาหารค่ำหรือ “Thanksgiving Dinner” ในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) ซึ่ง เป็นวันหยุดและเราใช้เวลาในวันนั้นกับการรับประทานอาหารกับคนใกล้ชิด แม้ว่าหลายคนจะจัดเลี้ยงอาหารในช่วงกลางวัน แต่ก็ต้องร่วมงานเลี้ยงอาหารอีกครั้งในยามเย็น ซึ่งทำให้ร่างกายของเราได้รับแคลอรี่สูงถึง 5,000 แคลอรี่ หรือมากกว่านั้น ซึ่งสูงกว่าปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายของคนเราต้องการโดยเฉลี่ยถึงเท่าตัว หรือ 2,500 แคลอรี่

          ...บ้านและที่ทำงาน...สถานที่อันตรายสำหรับเพิ่มน้ำหนัก

          บาง ครั้งในที่ทำงานของคุณก็ทำให้คุณไม่สามารถควบคุมการบริโภคได้ในช่วงเทศกาล แห่งความสุข เพราะลูกค้าหรือซัพพลายเออร์ก็จะนำขนมนมเนยนานาชนิด อาทิ คุกกี้ ลูกกวาด และข้าวโพดคั่วเคลือบคาราเมลมามอบให้ถึงที่ทำงาน


          การ บริโภคข้าวโพดคั่วเคลือบคาราเมลในปริมาณ 2 กำมือ 3 ครั้งต่อสัปดาห์นานติดต่อกันถึง 1 เดือนจะทำให้ร่างกายของเราได้รับแคลอรี่สูงถึง 2,200 แคลอรี่ ขณะที่การรับประทานช็อกโกแลตเฉลี่ยแค่สัปดาห์ละ 3 ชิ้นนาน 1 เดือนจะก่อให้เกิดแคลอรี่ในปริมาณ 1,600 แคลอรี่ และนั่นเป็นสาเหตุที่จะทำให้คุณมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5 กิโลกรัม ภายในเดือนมกราคมที่จะมาถึงนี้

          นอก จากการบริโภคในสถานที่ทำงานแล้ว คุณยังมีแนวโน้มบริโภคขนมหวานที่บ้านอีกด้วย เมื่อตะกร้าของขวัญเริ่มต้นมาถึงบ้านคุณ การบริโภคมินิมัฟฟินจำนวน 10 ชิ้นใน 2 - 3 วัน จะเพิ่มแคลอรี่ให้ถึง 1,000 แคลอรี่ หรือการรับประทานขนมปังชีสหรือซาลามีแครกเกอร์ ทำให้ได้รับแคลอรี่กว่า 700 แคลอรี่

          คุณ ยังจะประสบปัญหาเรื่องการเพิ่มของน้ำหนักตัวได้เช่นกัน ถ้าบริโภคคุกกี้จำนวน 2 แถวหรือแค่ 6 ชิ้น หรือแม้จะเลี่ยงไปรับประทานขนมปังจิงเจอร์เบรด ก็จะเพิ่มแคลอรี่ให้คุณได้อีกประมาณ 500 แคลอรี่

และ หากคุณยังคงรับประทานอาหารตามที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยไม่มีการออกกำลังกาย เช่น เลิกการเดินวันละ 45 นาที ซึ่งจะทำให้สามารถลดได้ 175 แคลอรี่เป็นเวลา 1 เดือน เลยนะคะ อย่าท้อถอยกันนะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น