- รักษาโรคกรดไหลย้อน

คำแนะนำในการยกเตียง เพื่อรักษาโรคกรดไหลย้อน

ผศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
     การ ยกเตียง มีความสำคัญในการรักษาโรคกรดไหลย้อน เนื่องจากเวลานอนกรดจะไหลย้อนได้ง่ายกว่าเวลานั่งหรือยืน ทำให้ผู้ป่วยมีอาการของกรดไหลย้อน เวลากลางคืนตอนนอนหรือขณะตื่นมาตอนเช้า จึงควรหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้น เพื่อลดการไหลย้อนของกรด โดยเฉพาะเวลานอน 
     1.ถ้านอนยกศีรษะสูงโดยการใช้หมอนรองศีรษะ จะทำให้ลำตัวพับงอ ความดันในช่องท้องจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้กรดไหลย้อนมากขึ้น จึงไม่ควรยกศีรษะให้สูงขึ้นโดยการใช้หมอนรองศีรษะ
     2.ควรยกเตียงส่วนศีรษะ หรือหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้นโดยใช้วัสดุรองขาเตียง เช่น ไม้,อิฐ โดยเริ่มประมาณ 0.5-1 นิ้ว จากพื้นราบก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ไม่ควรยกสูงมากจนร่างกาย ของผู้ป่วยไหลลงไปที่ปลายเตียง ควรยกให้สูงพอประมาณที่ผู้ป่วยสามารถนอนหลับได้สบาย ซึ่งจะทำให้กรดไหลย้อนน้อยลงโดยเฉพาะเวลานอน 
     3. ในกรณีที่ยกเตียงไม่ได้(เตียงหนักหรือเตียงติดกับพื้นหรือผนัง)ให้ใช้ไม้ กระดานแข็งวางรองใต้ฟูกหรือเบาะ โดยให้มีขนาดเล็กกว่าฟูกหรือเบาะเล็กน้อย(เพื่อจะได้วางไม้บนเตียงได้) แล้วใช้ไม้หรืออิฐ ยกแผ่นไม้กระดานแข็งดังกล่าวขึ้น ตามคำแนะนำในข้อ 2
     4.ถ้านอนพื้นให้ใช้ไม้กระดานแข็งวางรองใต้ฟูกหรือเบาะ โดยให้มีขนาดใหญ่กว่าฟูกหรือเบาะเล็กน้อย แล้วใช้ไม้หรืออิฐยกแผ่นไม้กระดานแข็งดังกล่าวขึ้น ตามคำแนะนำในข้อที่ 2

ที่มา: คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล (http://www.si.mahidol.ac.th)

 โดย : ouichon
โรคกรดไหลย้อน เป็นโรคใหม่สำหรับคนเมืองจริงค่ะ ไม่ใช่แค่ทำลายสุขภาพ แต่มันอาจถึงชีวิตได้ วันนี้เราลองมาศึกษาโรคกรดไหลย้อน ทั้งสาเหตุและวิธีการรักษาจากคุณหมอโรงพยาบาลธนบุรี


 โรคกรดไหลย้อน
Gastroesophageal Reflux Disease: GERD

เป็น ภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร โดยของที่ไหลย้อนส่วนใหญ่จะเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ส่วนน้อยอาจเป็นด่างจากลำไส้เล็ก โดยอาจมีหรือไม่มีหลอดอาหารอักเสบก็ได้ โรคนี้มีความสำคัญคือ ผู้ป่วยจะมีอาการแสบยอดอกและ/หรือร่วมกับมีภาวะเรอเปรี้ยว(รู้สึกเหมือนมี กรดซึ่งมีความรู้สึกเหมือนมีน้ำรสเปรี้ยวหรือขมไหลย้อนขึ้นมาที่คอหรือปาก) ภาวะนี้อาจทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบหรือเป็นมากจนเกิดแผลที่รุนแรง จนทำให้ปลายหลอดอาหารตียหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์ของเยื่อบุหลอดอาหารได้ บางรายอาจรุนแรงจนถึงขั้นเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ ในบางรายผู้ป่วยอาจมาด้วยอาการทางด้านของ โรคหู คอ จมูก อาทิ ไอเรื้อรัง เสียงแหบเรื้อรัง หรืออาจมาด้วยอาการเจ็บหน้าอกที่ไม่ได้เกิดจากโรคหัวใจ หรือมีกลิ่นปาก เป็นต้น

สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน
โรคนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ
  • การคลายตัวของหลอดอาหารส่วนปลายโดยที่ไม่มีการกลืน พบว่าคนไข้โรคนี้จะมีจำนวนครั้งของภาวะนี้ เกิดขึ้นบ่อยกว่าในคนปกติ ซึ่งสาเหตุนี้ถือเป็นภาวะสำคัญของโลกนี้
  • ความ ดันของหูรูดของหลอดอาหารส่วนปลายลดลงต่ำกว่าในคนปกติหรือเกิดมีการเลื่อน ของกระเพาะอาหารเข้าไปในหลอดอาหาร ทำให้เพิ่มโอกาสการไหลย้อนของกรดจากกระเพาะอาหารมากขึ้น
  • เกิดจากความผิดปกติของการบีบตัวของกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร
  • อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิดหรือเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน
อาการ สำคัญ คือ อาการแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่แล้วลามขึ้นมาที่หน้าอกหรือคอ อาการนี้จะเป็นมากขึ้นหลังรับประทานอาหารมื้อหนัก การโน้มตตัวไปข้างหน้า การยกของหนัก หรือการนอนหงาย อาการสำคัญอีกประการก็คือ อาการเรอเปรี้ยวคือ มีกรดซึ่งเป็นน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก โดยคนไข้อาจมีทั้ง 2 อาการ หรืออาการใดอาการหนึ่งก็ได้ ในคนไทยที่เป็นโรคนี้บางครั้งอาจพบอาการนี้ไม่ชัดเจน อย่างคนไข้ในแถบตะวันตกหรือในอเมริกา อาการอื่นๆที่อาจพบได้ อาทิ ท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียนหรือกลืนลำบาก ในรายที่เป็นมากบางรายอาจมาด้วยอาการที่ไม่ใช่อาการของหลอดอาหาร อาทิ เจ็บหน้าอก จุดที่คอเรื้อรัง หอบหืด หรือมีกลิ่นปากโดยหาสาเหตุไม่ได้

จะวินิจฉัยโรคนี้ได้อย่างไร 
โดย ปกติแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้จากอาการดังที่กล่าวมา โดยผู้ป่วยที่มีอาการทั้งแสบยอดอกและ/หรือ เรอเปรี้ยว (ทั้งนี้ไม่ควรมีอาการที่บ่งบอกว่าน่าจะเป็นโรคอื่น อาทิ น้ำหนักลด อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำหรือถ่ายเป็นเลือด หรือมีไข้) แพทย์สามารถวินิจฉัยได้เลยว่าผู้ป่วยมีภาวะกรดไหลย้อนและให้การรักษาเบื้อง ต้นได้เลย โดยจะติดตามดูอาการของผู้ป่วย ในบางรายอาจมีความจำเป็นต้องได้รับการตรวจค้นพิเศษเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องทางเดินอาหาร การกลืนแป้ง การตรวจวัดการบีบตัวของหลอดอาหาร และการตรวจวัดความเป็นกรดด่างในหลอดอาหาร ซึ่งพบว่าได้ผลแม่นยำและดีที่สุดในปัจจุบัน เป็นต้น

จะปฏิบัติตัวอย่างไรถ้าเป็นโรคนี้
โดย ทั่วไปเป้าหมายของการรักษา แพทย์จะมุ่งเน้นให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้น รักษาอาการอักเสบของแผลในหลอดอาหารและป้องกันผลแทรกซ้อน การรักษาประกอบไปด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม การดำเนินชีวิต การให้ยา การส่งกล้องรักษาและการผ่าตัด โดยวิธีที่ง่ายที่สุด คือ การเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ซึ่งสามารถทำได้ดังต่อไปนี้
  •  หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชา น้ำอัดลม น้ำผลไม้ หรืออาหารที่มีรสเปรี้ยวจัด เผ็ดจัด อาหารไขมันสูง ช็อคโกแลต
  •  ระวังไม่ให้น้ำหนักตัวมากหรืออ้วนเกินไป
  •  ระวังอาหารมื้อเย็น ไม่กินในปริมาณมากและไม่ควรนอนทันทีหลังรับประทานอาหารอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
  •  ควรรับประทานอาหารปริมาณน้อยๆแต่บ่อยครั้ง
  • ไม่ใส่เสื้อรัดรูปเกินไป
  •  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  •  นอนตะแคงซ้ายและนอนหนุนหัวเตียงให้สูงอย่างน้อย 6 นิ้ว
เมื่อปฏิบัติตัวเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรทำอย่างไร
ถ้า การปฏิบัติเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องรับประทานยาร่วมด้วย โดย ยาที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบันคือยาลดกรดในกลุ่ม Proton Pump Inhibitors (PPI) ซึ่งได้ผลดีกว่า ยาในกลุ่ม H2 blocker receptor antagonist และดีกว่ากลุ่มยาที่กระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวของหลอดอาหาร โดยที่แพทย์จะให้รับประทานยาในกลุ่มนี้เป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ ในบางรายที่เป็นมาก อาจมีความจำเป็นต้องใช้ยาเป็นระยะเวลานานหลายเดือนหรือเป็นปี ซึ่งอาจจะมีการปรับการรับประทานยาเป็นแบบช่วงระยะเวลาสั้นๆหรือไม่กี่วันตาม อาการที่มี หรือกินติดต่อกันตลอดเป็นเวลานาน
อย่างไรก็ดีการใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ในรายที่รับประทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นอาจพิจารณา
สำหรับ ยาในกลุ่มที่มีผลต่อการคลายตัวของหูรูดนั้นยังมีอยู่จำนวนไม่มากและยังมีผล ข้างเคียงอยู่พอสมควรการรักษาด้วยการส่องกล้องหรือการผ่าตัด

ขอขอบคุณ


รศ.นพ. สมชาย ลีลากุศลวงศ์

อายุรแพทย์ด้านระบบทางเดินอาหารและตับ
โรงพยาบาลธนบุรี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น