- ประโยชน์ของฟักทอง

ฟักทอง**คุณค่าและประโยชน์ของฟักทอง**

**สรรพคุณทางยาเพื่อสุขภาพ**

ฟักทอง ถือเป็นพืชในตระกูลมะระชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวผลขณะยังอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จะแล้วจะมีสีเขียวสลับเหลือง ผิวไม่เรียบขรุขระเปลือกมีลักษณะแข็ง เนื้อในสีเหลืองมีเส้นใยอยู่ภายในเป็นสีเหลืองนิ่มพร้อมกับเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ประโยชน์ของฟักทองนั้นมีมากมายสามารถนำมาใช้กินบำรุงร่างกายและรักษาโรคได้ดี

pumpkin

ประโยชน์ของฟักทอง

สรรพคุณทางยาของฟักทอง

- เมล็ดสามารถขับพยาธิตัวตืด ขับปัสสาวะ และบำรุงร่างกายได้ดี
- ราก บำรุงร่างกาย แก้ไอ ถ่อนพิษของฝิ่นได้
- น้ำมันจากเมล็ดบำรุงประสาทได้ดี
- เยื่อกลางผลสามารถนำมาพอกแก้อาการฟกช้ำ ปวด อักเสบ

ประโยชน์ของฟักทองทางโภชนาการ

- เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูงมาก มีฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง สารสีเหลืองและโปรตีน
- ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ
- ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย
- เมล็ด มีน้ำมัน แป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน

เกล็ดเล็กเกล็ดน้อยประโยชน์ของเมล็ดฟักทอง ในเมล็ดฟักทองมีสารชื่อ คิวเคอร์บิติน (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี วิธีใช้ให้เตรียมเมล็ดฟักทองประมาณ 60 กรัม ทุบให้แตกละเอียดนำมาผสมกับน้ำตาล นม และน้ำเติมลงไปจนได้ประมาณ 500 มิลลิลิตร แบ่งรับประทาน 3 ครั้ง ห่างกันทุก 2 ชั่วโมงจะฆ่าพยาธิตัวตืดได้ หลังจากนั้นให้ยาแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง ควรรับประทานยาระบายน้ำมันละหุ่ง 2 ช้อนโต๊ะช่วยในการขับถ่าย

ฟักทอง เต็มเปี่ยมด้วยประโยชน์

ฟักทอง

          หนึ่งในพืชสีเหลืองที่เรามักจะเห็นคนนำมาประกอบอาหารอยู่บ่อย ๆ ก็คือ "ฟักทอง" นั่นเอง เพราะ "ฟักทอง" สามารถประกอบอาหารคาว-หวานได้สารพัดเมนู จึงไม่แปลกที่ "ฟักทอง" จะเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน

          แล้วรู้ไหมคะว่า "ฟักทอง" นอกจากอิ่มอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกต่างหาก เอ้า...ถ้ายังไม่ทราบวันนี้เราขอเอาใจคนรัก "ฟักทอง" ด้วยการนำเรื่องราวประโยชน์ของ "ฟักทอง" มาเสิรฟ์ถึงมือคุณเลยค่ะ

          ฟักทอง เป็นพืชตระกูลมะระ ชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวมีลักษณะขรุขระ เนื้อในสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ซึ่งแต่ละส่วนของ "ฟักทอง" มีสรรพคุณทางมากมาย คือ

          เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี

          เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

          ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ

          ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย

          เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ

          ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้

          เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้


ฟักทอง

ฟักทอง อาหารเพื่อคุณผู้หญิง

          และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก "ฟักทอง" นี่แหละค่ะคือ "ตัวช่วย" ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก และมีแคลอรีไม่สูง ไขมันน้อย จึงไม่ทำให้อ้วน นอกจากนี้ในฟักทองมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูง จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณของคุณสาว ๆ มีน้ำมีนวล แถมสายตายังดูปิ๊งอีกต่างหาก

          นอกจากนี้ สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร "ฟักทอง" ซึ่งมีฤทธิ์อุ่น จะช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวดได้อีกด้วย

ข้อควรระวังในการทาน "ฟักทอง"

          เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน" คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน


ฟักทองลดน้ำตาลในเลือด

 ฟักทองมีคุณค่าทางอาหารสูงแต่ให้พลังงานต่ำ จึงเหมาะแก่ผู้ที่ต้องควบคุมอาหารชื่อวิทยาศาสตร์ Cucurbita moschata Duchesne
ชื่อสามัญ Winter squash, Buttercup squash  หรือ Pumpkin
วงศ์ Cucurbitaceae
ในภาษาอังกฤษจัดเป็นกลุ่มสควอชไม่ใช่ฟักทองแบบฟักทองฮัลโลวีน หรือ Cucurbita pepo แต่จัดเป็นพี่น้องสกุลเดียวกัน
ใบฟักทองประเทศไทยและประเทศในทวีปแอฟริกามีการกินใบอ่อนของฟักทองและฟักทองฮัลโลวีน
ใบฟักทองฮัลโลวีนมีธาตุสังกะสี (๐.๘ มก.) เหล็ก (๑๐.๑ มก.) แคลเซียม (๐.๐๗ มก.) กรัมต่อ ๑๐๐ กรัม นอกจากนี้ ยอดฟักทองให้วิตามินเอสูงมาก ถ้าผัดกับน้ำมันจะดูดซึมได้ดีโดยร่างกายมนุษย์ (เพราะวิตามินเอละลายในน้ำมัน)
ผลฟักทอง
มีลักษณะทรงแบนสีเขียวเข้ม หนัก ๑-๒ กิโลกรัม เนื้อในสีเหลืองส้ม
ประเทศสหรัฐอเมริกาประกอบอาหารจากผลสุกฟักทองนี้หลายชนิด โดยอบ ย่าง และบดใส่ซุปเหมือนกับฟักทองฮัลโลวีน
ประเทศบราซิลและแอฟริกานิยมปรุงเป็นซุป
ประเทศญี่ปุ่นนำมาชุบแป้งทอดเป็นเทมปุระ
ประเทศไทยนำมาประกอบอาหารโดยผัดใส่ไข่ ทำแกงเผ็ดฟักทองน้ำข้นมีรสดี ฝานบางอบแห้งทำข้าวเกรียบ หรือบรรจุด้วยสังขยานึ่งเป็นขนมหวาน สามารถนำเนื้อไปทำขนมพายได้เหมือนฟักทองฮัลโลวีน
เนื่องจากฟักทองมีคุณค่าทางอาหารสูงแต่ให้พลังงานต่ำจึงเหมาะแก่ผู้ที่ต้องควบคุมอาหาร

น้ำจากเนื้อฟักทองลดน้ำตาลในเลือด
งานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนพบว่า น้ำตาลโพลีแซ็กคาไรด์ที่ตรึงกับโปรตีนในเนื้อฟักทองมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด น้ำตาลดังกล่าวละลายได้ในน้ำคั้นผลฟักทอง  เมื่อทดสอบกับหนูที่เป็นเบาหวานจากสารอัลล็อกซาน พบว่า น้ำตาล-โปรตีนดังกล่าวเพิ่มระดับอินซูลินในซีรั่ม ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเพิ่มการทนกลูโคส (glucose tolerance) สารสกัดน้ำตาลดังกล่าวในปริมาณ ๑,๐๐๐ มก./กก. น้ำหนัก ให้ผลดีกว่าการให้ปริมาณต่ำๆ และดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยาเบาหวาน จึงสามารถนำผลการศึกษาไปใช้กับผู้ป่วยเบาหวานได้

 เมล็ดฟักทอง
คั่วและกินเป็นอาหารขบเคี้ยวได้ มีธาตุเหล็ก สังกะสี โพแทสเซียม แมกนีเซียม และกรดไขมันจำเป็น
เมล็ดฟักทอง ๑ กรัมมีกรดอะมิโนทริปโทเฟน มากเท่ากับที่มีในนมสดหนึ่งแก้ว
เมล็ดฟักทองมีน้ำมันที่อุดมไปด้วยสารแกมม่า โทโคฟีรอล (รูปหนึ่งของวิตามินอี) สารนี้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุมูลอิสสระที่มีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบ จึงสามารถชะลอความแก่ได้เป็นอย่างดี
เมล็ดฟักทอง ๑ กรัมมีกรดอะมิโนทริปโทเฟน    มากเท่ากับที่มีในนมสดหนึ่งแก้วน้ำตาลโพลีแซ็กคาไรด์ ที่ตรึงกับโปรตีนในเนื้อฟักทอง (มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด)

น้ำมันเมล็ดฟักทองใช้ปรุงอาหารได้ ใช้ในประเทศแถบยุโรปตะวันออก และตอนกลาง น้ำมันเมล็ดฟักทอง (ร้อยละ ๔๒.๒ ตามน้ำหนัก) มีวิตามินอี กรดไขมันไม่อิ่มตัว มีการใช้น้ำมันเมล็ดฟักทองในการป้องกันต่อมลูกหมากโต ลดความดันเลือด ลดอาการคอเลสเตอรอลสูง  โรคปวดข้อเข่า  ช่วยสมรรถภาพกระเพาะปัสสาวะ ลดปริมาณน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน และใช้ในผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหาร เต้านม ปอด และลำไส้ใหญ่

ปริมาณน้ำมันมีร้อยละ ๑๑-๑๓ ปริมาณกรดไขมัน ไม่อิ่มตัวมีร้อยละ ๗๓-๘๑ ที่พบมากคือกรดไลโนเลอิก โอเลอิก ปาล์มมิติก และสเตอริก  พบอัลฟ่า- แกมม่า- และ
เดลต้าโทโคฟีรอลในปริมาณ ๒๗.๑-๗๕.๑, ๗๔.๙-๔๙๒.๘ และ ๓๕.๓-๑,๑๐๙.๗ มิลลิกรัมต่อกรัม น้ำมันตามลำดับซึ่งเป็นปริมาณที่สูง ปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัวและวิตามินอีทำให้เมล็ดฟักทองเป็นอาหารที่เสริมคุณค่าโภชนาการอาหารประจำวันได้ดีมากชนิดหนึ่ง

เมล็ดฟักทองบรรเทาต่อมลูกหมากโต
น้ำมันเมล็ดฟักทองเป็นส่วนประกอบของยาพื้น-บ้านที่ใช้ดูแลสุขภาพต่อมลูกหมาก มีงานวิจัยสนับสนุน ประสิทธิภาพการใช้เมล็ดฟักทองรักษาอาการต่อม     ลูกหมากโต (benign prostatic hyperplacia) ชายวัย ๕๕ ปี ขึ้นไปอาจมีต่อมลูกหมากโตและแข็ง กดท่อปัสสาวะได้ และกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะไม่แข็งแรงพอจะบีบต้านแรงกดของต่อมลูกหมาก จึงทำให้เกิดมีอาการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ โรคนี้อาจพบได้ประมาณร้อยละ ๑๐ ของผู้ชายสูงอายุ

งานวิจัยสารสกัดเมล็ดฟักทองกับการทำงานของแอนโดรเจน รีเซปเตอร์ซึ่งมีผลควบคุมการเจริญของต่อมลูกหมาก จากใช้สารสกัดเมล็ดฟักทองกับชุดตรวจวัดแอนโดรเจน รีเซปเตอร์ รีพอร์ตเตอร์ยีน พบว่าสารสกัดจากเมล็ดฟักทองมีผลต้านฤทธิ์แอนโดรจีนิก (antiandrogenic effect) จริง การบริโภคเมล็ดฟักทองจึงอาจมีผลดีต่อผู้ที่มีอาการต่อมลูกหมากโตได้

ฟักทองกับความงามผิวพรรณ
เอนไซม์จากเนื้อฟักทองบด (รวมเมล็ด) มีความสามารถในการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ มีสารต้านออกซิเดชั่น วิตามิน และแร่ธาตุ จำเป็นที่ผิวต้องการ เมล็ดฟักทองมีวิตามินอี กรดไขมันไม่อิ่มตัว และสเตอรอล จึงช่วยในการรักษาความชุ่มชื้น และซ่อมแซมผิว

พืชสามัญเช่นฟักทองนี้มีดีอยู่ในตัวพอดู ลองชวนคุณพ่อบ้านบริโภคเมล็ดฟักทองขณะดูโทรทัศน์ เพื่อสุขภาพที่ดีในวันหน้าไหมคะ...

**ได้เห็นประโยชน์ดี ๆ ของ "ฟักทอง" แล้วอย่าลืมหามาทานกันนะคะ**

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น